ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีการคาดการณ์ว่าตลาดอาจจะกลับมาฟื้นตัวอีกภายในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า เพราะจีดีพีไทยมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ปรับแนวโน้มจีดีพีไทยเหลือ 1.8% จากประมาณการเดิม 3% ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายเริ่มปรับตัวรับมือกับวิกฤติโควิด-19 กันได้มากขึ้น มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด การประชาสัมพันธ์ให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าอาจจะมีการปรับลดและเลื่อนการเปิดตัวโครงการไปในปี 2565 บ้าง เพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลาย และตลาดกลับมาฟื้นตัว โดยในเรื่องสงครามราคาในปีนี้ไม่สามารถนำกลับมาเล่นได้มากนัก  โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ส่วนใหญ่จะชะลอการซื้อออกไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมารุกตลาดกลางล่างมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จับตลาดแนวราบมากขึ้นเช่นกัน เพราะยังมียอดขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ชะลอตัวมากเหมือนคอนโดมิเนียม แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่กลาง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างพยายามระบายสต๊อกให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างยอดขาย ยอดโอน และผลกำไรให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
prop2morrow รายงานผลการดำเนินงานบริษัท 14 บริษัทอสังหาริมทรัพย์งวดครึ่งปีแรก 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564  พบว่ากว่า 50% มียอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ฝ่ากระแสโควิด-19 ส่วนยอดรับรู้รายได้มี 9 บริษัทที่เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก 2563 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลยอดขายของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน)หรือ PF แจ้งให้ทราบก็ตาม โดยบริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ AP  มียอดขายและรับรู้รายได้มากสุด โดยมียอดขายที่  17,817 และยอดรับรู้รายได้ที่  20,506 ทั้งนี้เพราะเป็นการรวมผลประกอบการโครงการที่ร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นอย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป นั่นเอง  (รายละเอียดในตาราง)ดังนี้คือ

– มียอดขายรวมเท่ากับ  126,365 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เท่ากับ116,463  หรือ เพิ่มขึ้น” 

มีรายได้รวมเท่ากับ 117,454 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เท่ากับ 110,130 หรือ เพิ่มขึ้น” 

มีกำไรสุทธิเท่ากับ 15,787 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เท่ากับ 11,223 หรือเพิ่มขึ้น” 

มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 12.49% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เท่ากับ 9.63% หรือเพิ่มขึ้น” 

โดยจะเห็นว่าผลประกอบการทั้งหมดแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่สูงมากนัก  ซึ่งมี 8  บริษัท ที่มียอดขายเป็นบวก คือ บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ AP มียอดขายเท่ากับ 17,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 15,085 ล้านบาท , บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์จำกัด(มหาชนหรือ LH มียอดขายเท่ากับ 15,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 13,614 ล้านบาท ,บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS มียอดขายเท่ากับ 14,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 9,576 ล้านบาท , บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชนหรือ SPALI  มียอดขายเท่ากับ 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 12,074 ล้านบาท , บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชนหรือ ORI  มียอดขายเท่ากับ 15,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 11,431 ล้านบาท , บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE มียอดขายเท่ากับ 4,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 2,622 ล้านบาท, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มียอดขายเท่ากับ 11,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 8,202 ล้านบาท และ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN มียอดขายเท่ากับ 3,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 3,000 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการที่มี “รายได้เพิ่มขึ้น” โดย บริษัท เอพี(ไทยแลนด์จำกัด(มหาชนหรือ AP มีรายได้ที่นำโด่งเท่ากับ 20,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 19,959 ล้านบาท รองลงมาเป็น บริษัท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ จำกัด(มหาชนหรือ LH มีรายได้เท่ากับ 15,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 12,279 ล้านบาท, บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ SPALI มีรายได้รวมเท่ากับ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 6,871 ล้านบาท , บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มีรายได้เท่ากับ 8,726 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 7,888 ล้านบาท , บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชนหรือ ORI  มีรายได้รวมเท่ากับ 7,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 5,701 ล้านบาท ,บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE มีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 4,023 ล้านบาท , บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN มีรายได้รวมเท่ากับ 3,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 2,562 ล้านบาท , บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN มีรายได้รวมเท่ากับ 2,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 3,415 ล้านบาท  และ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ RML มีรายได้รวมเท่ากับ 2,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 1,049 ล้านบาท

ด้านกำไรสุทธิ 6 อันดับแรก พบว่า บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชนหรือ LH โดดเด่นสุด ที่ 3,614 ล้านบาท แต่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เท่ากับ 2,739 ล้านบาท ขณะที่บริษัท เอพี(ไทยแลนด์จำกัด(มหาชนหรือ AP  มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,832 ล้านบาท ,บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชนหรือ SPALI  มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,170 ล้านบาท , บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชนหรือ ORI  มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,302 ล้านบาท , บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 320 ล้านบาท , บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,339 ล้านบาท เป็นต้น

ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ”  5 อันดับแรก พบว่า บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชนหรือ LH ยังมีความโดดเด่นเช่นเดียวกับ “กำไรสุทธิ”มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 23.20% “เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 22.30%  รองลงมาเป็น บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชนหรือ SPALI  มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 22.50% “เพิ่มขึ้น” จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 17.00%  อันดับ 3 คือ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ QH มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 22.30% แต่เป็นอัตราที่ “ลดลงเล็กน้อย” จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 22.60%  อันดับ 4 คือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชนหรือ ORI  อัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 21.86% แต่เป็นอัตราที่ “ลดลง” จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 22.84% และบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 21.00% “เพิ่มขึ้น” จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 20.20%

สำหรับในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2564  ผู้ประกอบการอสังหาฯต่างเร่งระบายสต๊อกที่เหลือให้หมดอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่นั้นส่วนใหญ่จะเน้นการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นเช่นเดิมตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal ส่วนคอนโดมิเนียม จะมีการเปิดตัวที่น้อยลง เนื่องจากซัพพลายในตลาดยังมีสูงประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย นักลงทุนจากต่างประเทศยังไม่สามารถเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้  แต่ผู้ประกอบการหลายรายก็พยายามดิ้นหาทางออกเพื่อสร้างรายได้ให้เป็นไปตามเป้า ทั้งในรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรในการทำตลาดรูปแบบต่างๆ หรือขยายไลน์ธุรกิจ เป็นต้น ส่วนสงครามราคานั้นจะแผ่วลงไม่รุนแรงเท่ากับไตรมาส 2/2563 แต่ผู้ประกอบการจะหันมาเน้นการเรื่องการดีไซน์การอยู่อาศัย และการใช้งาน หรือพัฒนาโครงการในระดับกลางล่างมากขึ้น ในทำเลที่อยู่นอกใจกลางกรุงเทพฯ ออกไป แต่ยังอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆทั้งที่เปิดให้บริการแล้ว และที่จะเปิดให้บริการในอนาคต ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังพอมีกำลังซื้อมากกว่า ซึ่งคงต้องจับตาดูผลประกอบการในช่วงไตรมาส3-4 ของปี 2564 กันต่อไป ว่าจะฝ่าวิกฤติโควิด-14 และสร้างผลประกอบการได้ตามเป้าหมายหรือไม่ 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*