ไรมอน แลนด์ฯเผยแนวโน้มตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง64 ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากภาครัฐปูพรมฉีดวัคซีน และประกาศจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน ช่วยดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติกลับคืน  ระบุคอนโดฯย่านใจกลางธุรกิจซัพพลายใหม่ยังไม่มากและราคาขายยังทรงตัว ประกาศเปิดตัว 3 โครงการใหม่ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท ด้านโครงการ “TAIT Sathorn 12” ยอดขายพุ่งแล้ว 75% ระบุโควตาชาวต่างชาติยังเหลือ 14-15% คาดทั้งปีรายได้รวมแตะ 2,700 ล้านบาทตามเป้า
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด และการขาย บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)  หรือ RML เปิดเผยถึง ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ว่า เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก แม้ขณะนี้ต้องรอให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภายหลังที่เริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และการที่นายกรัฐมนตรีประกาศที่จะเปิดประเทศภายใน 120 วัน ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงกระตุ้นทำให้อสังหาฯกลับมาฟื้นตัวในระยะเวลาเร็ววันนี้ ที่จะดึงบรรยากาศและความมั่นใจในการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติให้กลับมา

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศจากโมเดลต้นแบบ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 รับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว  รวมถึงการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ  4 กลุ่ม ที่มีรายได้สูงและศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ด้วยสิทธิในการพำนักในประเทศไทยด้วยอายุวีซ่า10ปี, ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้จากต่างประเทศ รวมถึงสิทธิในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือเช่าระยะยาว เพื่อสร้างรายได้ การลงทุน และ อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นให้กับประเทศ ทั้งนี้ หากมาตรการดังกล่าวผ่านการรับรองจากภาครัฐ ก็จะส่งผลดีกับบริษัทและประเทศชาติ ก็จะยิ่งสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนจากต่างชาติกลับเข้ามาอย่างแน่นอน และยิ่งหากมีการขยายโควตาขยายสิทธิการซื้อคอนโดมิเนียม จากเดิมกำหนดให้ต่างชาติซื้อและถือครองกรรมสิทธิ์ได้สูงสุด 49% ของพื้นที่ขายโครงการ (ส่วนอีก 51% เป็นของคนไทยถือครอง) เพิ่มเป็น 78-80% ก็จะยิ่งช่วยภาคธุรกิจอสังหาฯได้มากขึ้น

“แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯตั้งแต่ต้นปีชะงักลง แต่สำหรับกลุ่มลักชัวรี่ยังมีดีมานด์ที่ค่อนข้างดี เห็นได้จากยอดโครงการ The Lofts Silom ที่ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยในไตรมาส1 และ โครงการ TAIT Sathorn 12 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการที่ประชาชนในประเทศและทั่วโลกได้ทยอยรับวัคซีน จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมาฟื้นตัว” นายมนาเทศ กล่าว

นายมนาเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดรวมคอนโดฯไตรมาส1/2564 ลดลง 3,634  ยูนิต -41.8% จากไตรมาส 1/2563 แต่อัตราการขายเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส 4/2563 เป็น 37% โดยซัพพลายคอนโดฯระดับไฮเอนด์จำกัดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ทั้งนี้เป็นเพราะผู้ประกอบการการมีความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่นั่นเอง  ส่วนคอนโดฯไฮเอนด์ในย่านซีบีดี ราคาค่อนข้างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก  และการที่กลุ่มคนวัยทำงานมีการ Work From Home (WFH) ทำให้เลย์เอาท์ดีไซน์ห้อง และพื้นที่ส่วนกลางในคอนโดฯมีการปรับเปลี่ยนไปด้วย

“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซัพพลายและดีมานด์ คอนโดฯมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะคอนโดฯในพื้นที่สุขุมวิท สีลม สาทร ลุมพินี ยังเป็นที่ต้องการของดีมานด์ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 10-15 ล้านบาท หรือ 200,000 บาท/ตารางเมตรขณะเดียวกันราคาที่ดินก็มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 จะเปิดตัวโครงการระดับอัลตร้าลักชัวรี่ใหม่อีกอย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท  ได้แก่ 1. โครงการ ทำเลสุขุมวิท 38  ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม “โตเกียว ทาเทโมโนะ” 2. โครงการย่านพร้อมพงศ์ โครงการ และ3. Ocean Front Luxury Villa ที่ จ.ภูเก็ต แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ทั้งนี้ตั้งรอดูสถานการณ์ตลาดอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรก 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์การตลาด การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการรีแบรนด์ดิ้ง ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้มีความลักชัวรี่ ทันสมัย และสามารถเข้าถึงเจเนอเรชั่นใหม่ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิมที่เชื่อมั่นในแบรนด์ และ กลุ่ม Young Affluents ผู้มีกำลังซื้อยุคใหม่ รวมถึงการปรับภาพลักษณ์โครงการ TAIT Sathorn 12 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่บนทำเลสาทรให้เข้ากับความ Modern Luxury และมีแผนที่จะขยายการปรับภาพลักษณ์โครงการอื่นๆในอนาคต

และด้วยศักยภาพของตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ทำเลใจกลางเมืองที่มีจำนวนจำกัด แต่ยังคงมีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากผู้ที่กำลังมองหาที่พักอาศัย หรือซื้อไว้เพื่อลงทุน ทำให้คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวจากกลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อระดับสูง

“ภาพรวมไตรมาสแรก ปี 2564 เรามีการปรับกลยุทธ์การตลาด และรีแบรนด์ดิ้ง ทำให้ปิดการขายจากโครงการต่างๆได้ 1,500 กว่าล้านบาท โตแบบก้าวกระโดดเกือบ 300% ส่วนไตรมาส2/2564 ซึ่งมีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 บริษัทฯก็พยายามกับแผนด้านการขายผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงการออกบู๊ธที่ประเทศจีน ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งดำเนินการผ่านเอเจนท์ เสมือนชมห้องตัวอย่างจริง ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี รัฐบาลพยายาปูพรมจัดฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศ  และยิ่งจะเปิดประเทศก็จะเป็นสัญญาณที่ดี”นายมนาเทศ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าโครงการ“เทตต์ สาทร 12” (TAIT Sathorn 12) คอนโดมิเนียม High-rise ระดับลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิดหลักของโครงการ “Live The Best of Sathorn Life”  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ มีความสูง 40 ชั้น  67–141 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาเริ่มต้นที่ 8.88 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 260,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 238 ยูนิต  มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ 75% (2,600 ล้านบาท ) ที่ผ่านมาปรับราคามาประมาณ 10%  คาดว่าอีก 25% (70 ยูนิต)ที่เหลือจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยยังเหลือโควตาชาวต่างชาติประมาณ 14-15% ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะในช่วง1-2 ที่ผ่านมาไม่มีโครงการระดับไฮเอนด์ในย่านดังกล่าวเลย คาดว่าจะสามารถปิดการขายภายในปี 2564นี้ หรือปี 2565 โดยตั้งเป้ารายได้รวมทั้งปี 2564 ที่ 2,500-3,000 ล้านบาท

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*