ทีซีเอ็มฯเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2564 เริ่มส่งสัญญานฟื้นตัว กวาดรายได้แตะ 1.8 พันล้านบาท จากยอดขายเพิ่มจากกลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟและลีฟวิ่ง พร้อมประกาศความสำเร็จปิดดีลซื้อกิจการค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอังกฤษ “Arlo & Jacob” เพิ่มศักยภาพการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้บริโภคโดยตรง  เร่งเครื่องพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ รองรับการเติบโตหลังโควิด-19 
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ TCMC  เปิดเผยถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2564 ว่า กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 1,838.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้  1,630.39 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.78 และมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 15.29 ล้านบาท ทำได้ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 26.47 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19

“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 โรคระบาดโควิด-19 ยังคงมีผลกระทบต่อกิจการของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มวัสดุปูพื้น จากการที่ลูกค้าหลักของเราอยู่ในภาคการท่องเที่ยวและบริการ (hospitality) ได้แก่ โรงแรม คาสิโน โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง ศูนย์ประชุม ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 และอาจยังไม่ฟื้นตัวได้ในเร็ววันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ เริ่มมีทิศทางดีขึ้น ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ที่ผ่านมา และในส่วนของกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่เราได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้นในทุก ๆ ด้าน และการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจ ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เราจะมีความพร้อมและกลับมาอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นางสาวปิยพร กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแล้ว ในแง่กลยุทธ์เรายังได้ขยายฐานการผลิตและช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน บริษัทได้เข้าซื้อโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ปิดตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ซึ่งได้มาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ปริมาณคำสั่งซื้อที่เข้ามามากเป็นประวัติการณ์ และในปีนี้ได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอังกฤษ(UK) Arlo & Jacob ซึ่งมีโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ 5 แห่งอยู่ในทำเลที่โด่ดเด่นทั่วประเทศอังกฤษ การเข้าซื้อครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคโดยตรง (B2C) ซึ่งจะทำให้เข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และนอกจากร้านค้าปลีก Arlo & Jacob ยังมีช่องทางการขายแบบออนไลน์ ซึ่งจะเป็นการปรับรูปแบบธุรกิจเข้าสู่กระแสความนิยมในปัจจุบัน และส่งเสริมกลยุทธ์ของธุรกิจที่มีอยู่ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ

โดยในไตรมาส 1/2564 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living)  มีรายได้สูงขึ้นร้อยละ 37.23 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยังมีความต้องการซื้อต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงสิ้นปี 2563 ประเทศอังกฤษได้เกิดการระบาดของโควิด-19 อีกระลอก ทำให้รัฐบาลอังกฤษประกาศใช้มาตรการบังคับให้กิจการค้าปลีกที่ไม่ใช่ธุรกิจจำเป็นต้องหยุดกิจการจนถึงสิ้นไตรมาสแรก และเพิ่งให้เปิดทำการในวันที่ 12 เมษายน 2564 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่เป็นจ้าของร้านค้าปลีกต่างๆ และแม้ในช่วงที่ล็อคดาวน์ ก็ยังมีคำสั่งซื้อผ่านมาจากช่องทางออนไลน์ และยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 กลุ่มธุรกิจยังคงสามารถทำยอดขายได้ 1,311.62 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนถึง 37.23% แต่เนื่องจากกลุ่มธุรกิจยังคงประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนโฟม ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น และการขนส่งระหว่างประเทศที่ยังคงเป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังไม่สามารถควบคุมการบริหารต้นทุนได้ดีนัก อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจมีการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงการได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ ทำให้ค่าใช้จ่ายบริหารลดลงร้อยละ 35.01 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้หลังจากหักค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงิน ค่าภาษีและส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีผลกำไรสุทธิ 7.27 ล้านบาท

ปัจจุบัน กลุ่มทีซีเอ็ม ลีฟวิ่ง มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ในเครือ ได้แก่  Alstons,  Ashley Manor,  AMX Design,  Alexander & James และ Arlo & Jacob ซึ่งบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าทั้ง 5 แบรนด์ จะสามารถตอบสนองความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ของลูกค้าในประเทศอังกฤษที่สูงขึ้นมาก จากการต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน และมีแนวโน้มการขยับขยายที่พักอาศัยจากในเมืองสู่นอกเมืองมากขึ้น ทำให้ยังคงมีความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตบริษัทมีแผนการขยายตลาดให้กว้างออกไปอีก ให้ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง

ในส่วนของกลุ่มวัสดุปูพื้น (TCM Flooring)  กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมบริการและธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้จากการขายและบริการ 304.64 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 34.65 เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางทั่วโลก ถึงแม้จะมีทิศทางเศรษฐกิจดีขึ้นจากการกระจายวัคซีนได้อย่างกว้างขวางในแถบทวีปยุโรปและอเมริกา แต่ผู้ประกอบการยังคงออมเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ จึงยังไม่เห็นการลงทุนในด้านการตกแต่ง แต่จากการที่กลุ่มธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลขาดทุนสุทธิ 49.28 ล้านบาท ถือว่าสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 24.31

เพื่อเป็นการกระตุ้นรายได้ บริษัทได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าในส่วนของที่อยู่อาศัย (Residential) ที่ยังมีกำลังซื้อให้มากขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบัน สถานการณ์ในตลาดต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย ธุรกิจท่องเที่ยวมีทิศทางที่ดีขึ้น และมีการติดต่อจากลูกค้าต่างประเทศเข้ามามากขึ้น บริษัทจึงมุ่งเน้นการเติบโตของรายได้จากลูกค้าในตลาดที่เริ่มมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว ได้แก่ ตลาดอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มพรมลักชัวรี่ เช่น พรมในร้านแบรนด์เนม พรมบนเครื่องบินส่วนตัว เป็นต้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) มีรายได้จากการขายและบริการที่ 222.43 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 208.49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.69 ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงปลายปี 2563 ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหารโดยรวมลดลงจากความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน และจำกัดงบประมาณต่างๆ ทำให้สิ้นไตรมาส 1 กลุ่มธุรกิจนี้มีผลกำไรสุทธิ 26.72 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 75.21 โดยแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หุ้มบุในรถยนต์ให้ตอบสนองกับกระแสความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ที่กลับมาระบาดอีกระลอก ซึ่งอาจจะส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศต้องชะลอตัวอีกครั้ง

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2564 สัดส่วนรายได้ของบริษัทจากแต่ละกลุ่มธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง โดยรายได้จากการขายและบริการของ กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ลีฟวิ่ง ได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญทำให้กลายเป็นรายได้หลัก คิดเป็นร้อยละ 71.33 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.71 กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ฟลอร์ริ่ง มีสัดส่วนรายได้จากการขายและบริการเป็นลำดับที่สอง อยู่ที่ร้อยละ 16.57 ลดลงร้อยละ 12.02 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาสที่ 1 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ รวมถึงการได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ออโตโมทีฟ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 12.10 ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์มีปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โรคระบาดในประเทศไทยและนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนอุตสาหกรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในส่วนของทั้งปี 2564 นี้ บริษัทมองว่าเศรษฐกิจในประเทศอาจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่สำหรับต่างประเทศ ตลาดมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเราเองก็ได้ทำการปรับองค์กรให้มีลักษณะลีนขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น เพื่อให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มีการนำระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ ในขณะเดียวกัน ในแง่ของกลยุทธ์เราก็แสวงหาโอกาสในการเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่จะช่วยเสริมธุรกิจที่มีอยู่เดิม รวมถึงการขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อปิดโอกาสการเกิดความเสี่ยงหรือลดผลกระทบจากความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  โควิด-19 จึงเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเองและพัฒนาปรับปรุงตั้งแต่นโยบายจนถึงการปฏิบัติ เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่งในระยะยาว

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*