ทำธุรกิจศูนย์การค้ามานานกว่า 40 ปีแล้วสำหรับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ทำให้รายได้หลัก 80% มาจากธุรกิจศูนย์การค้า ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์การค้าที่เปิดให้บริการทั้งหมด 34 โครงการ มีพื้นที่เช่าศูนย์การค้ารวม 1,809,020 ตารางเมตร อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และมาเลเซีย 1 โครงการ ซึ่งในรอบปี2563 ที่ผ่านมามีอัตราการเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าอยู่ที่ 91%

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความท้าทายเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องทำงานหนักและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มผู้ค้า ผู้เช่า กลุ่ม SME ในท้องถิ่น และร้านค้าพันธมิตรมากกว่า 15,000 รายทั่วประเทศ จนสามารถฟันฝ่าวิกฤติในปีที่ผ่านมาได้ส่งผลให้มีรายได้รวม 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท

แต่ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ อัตราการเข้ามาใช้พื้นที่ศูนย์การค้าของเซ็นทรัลฯในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 50-60% ก่อนจะเริ่มขยับเพิ่มขึ้นเป็น 65-70%ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ที่ 75% แต่คาดว่าในสิ้นปีนี้อัตราการเข้ามาใช้พื้นที่ศูนย์การค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 95%

สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2564 นี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าในวิกฤตยังมีโอกาสในการลงทุนให้เติบโต โดยยังคงเดินหน้าเตรียมพร้อมเปิดตัวโครงการให่ตามแผนที่วางไว้ทั้งสิ้น 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 13,900 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส โดยมี 2โครงการที่เตรียมจะเปิดตัวในปีนี้ คือ

โครงการ เซ็นทรัล ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งศูนย์การค้า, คอนเวนชั่นฮอลล์, เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์, ออฟฟิศ และโรงแรม บนที่ดิน 27 ไร่ โดยมีพื้นที่รวมประมาณ  71,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการวันที่ 25 กันยายนนี้

โครงการเซ็นทรัล อยุธยา มูลค่าโครงการ 6,200 ล้านบาท บนที่ดิน 47 ไร่ ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า, Tourist Attraction, โรงแรม, ที่พักอาศัย, และคอนเวนชั่นฮอลล์ มีพื้นที่รวมทั้งหมด 68,000 ตารางเมตร เปิดให้บริการวันที่ 27 ตุลาคมนี้

ส่วนอีกโครงการคือ เซ็นทรัล จันทบุรี มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ขนาดที่ดิน 46 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, Local market, ที่พักอาศัย, และโรงแรม รวมถึง Social Park  มีพื้นที่รวม 42,600 ตารางเมตร กำหนดเปิดให้บริการประมาณไตรมาสที่2 ปี2565

ทั้งนี้การขยายสาขาศูนย์การค้าในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูสออกไปยังภูมิภาคทั้ง 3 จังหวัด ถือเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและยกระดับศักยภาพจังหวัด พร้อมดึงความโดดเด่นของอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกระจายความเจริญและรายได้ไปยังท้องถิ่น โดยบริษัทได้วาง 3 กลยุทธ์ในการลงทุนครั้งนี้ คือ

-การบุกเบิกเมืองด้วยโมเดล Fully-Integrated Mixed-Use Developments ที่แข็งแกร่ง โดยใช้จุดแข็งและและสูตรความสำเร็จ Success Formula ของบริษัทที่มีมายาวนาน โดยนอกเหนือจากการพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าแล้ว และบางสาขายังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ติดกับศูนย์การค้าด้วย ซึ่งหลายโครงการสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีคอนโดฯที่เปิดตัวไปแล้ว 18 โครงการใน 10 จังหวัด

โดยในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวคอนโดฯใหม่เพิ่ม 3 โครงการ คือ เอสเซ้นต์ ระยอง 2 จำนวน 420 ยูนิตตั้งอยู่ติดกับห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง โครงการเอสเซ้นต์ โคราช จำนวน 395 ยูนิต อยู่ติดกับห้างเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา และโครงการเอสเซ้นต์ หาดใหญ่ จำนวน 665 ยูนิต อยู่ติดกับห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่

-Customer-Centric Design Thinking and Marketing เน้นแนวคิดการพัฒนาโครงการให้รอบรับทุกไลฟ์สไตล์และชูวิถีอัตลักษณ์ของเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริการใหม่ๆที่ปรับแต่งหรือ customize ตามจังหวัดต่างๆ

-Tenant-Centric Business Partnership โดยทุกศูนย์การค้าของเซ็นทรัลจะเน้นที่กลยุทธ์การเป็น Center of Life, Center of Community ด้วยการสร้างศูนย์การค้าให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่  พร้อมช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่

นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า จากฐานข้อมูลบัตรสมาชิก The 1 ของกลุ่มเซ็นทรัล มีพบมีกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่ซ่อนเร้นหรือ unmet need ในอยุธยา กว่า 180,000 คน มักจะเดินทางเข้ามาช้อปปิ้งในย่านชานเมืองของกรุงเทพเฉลี่ย 6 ครั้งต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าประชาชนในจังหวัดอยุธยามีกำลังซื้อสูงและมีรายได้อยู่ในระดับที่สูง

โดยมีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากเกือบ 2,500,000 คน ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอยุธยา, อ่างทอง, สิงห์บุรี, ชัยนาท, และสุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังมีประชากรแฝงจากนิคมอุตสาหกรรม 5 แห่งกว่า 166,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นบริษัทกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และไฮเทค ทำให้มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวอยู่ในจังหวัดอยุธยามากถึง 56 โครงการกว่า 5,700 ยูนิต

ทั้งนี้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อยุธยา จะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนอยุธยาประมาณ 85% และกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศอีก 15% เนื่องจากช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติโควิด-19  เมืองอยุธยามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากกว่า 8 ล้านคนต่อปี  โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.2 ล้านคนและต่างชาติ 2.1 ล้านคน

ขณะที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา รองรับการพัฒนาเมืองศรีราชาให้เป็น  New S-Curve ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนใน EEC สะพัดกว่า 1.5 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2017-2022  ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวในเมืองศรีราชาไปแล้วกว่า 61,000 ยูนิต และนิคมอุตสาหกรรม 11 แห่ง ขณะที่ประชากรเมืองศรีราชามีกว่า 580,000 คน รวมทั้งยังมีชุมชน Japanese Expat ที่มีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอื่นๆ อาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน  โดยเฉพาะกลุ่มคนญี่ปุ่นในทำงานที่ศรีราชามีรายได้สูงเฉลี่ยประมาณ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน

ส่วนศูนย์การค้าเซ็นทรัล จันทบุรี ที่จะเปิดตัวในปีหน้า มีทั้งศูนย์การค้า, Convention Hall, คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย จำนวน 247 ยูนิต และโรงแรมขนาด 158 ยูนิต  ที่สำคัญจะมีพื้นที่สีเขียวแบบ Semi-Outdoor Model ขนาดใหญ่ถึง 5 ไร่  และ Sport Destination ด้วยพื้นที่ Multi-Purpose อีกกว่า 4,000 ตารางเมตร  โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชากรจำนวนมากกว่า 1,800,000 คนทั้งในจังหวัดจันทบุรี, ตราด, ปราจีนบุรี และสระแก้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*