เอพีฯ ปรับแผนหลังรับบทเรียนตลาดคอนโดฯไม่สนองดีมานด์ หันรุกตลาดแนวราบมิกซ์โปรดักส์ หัวเมืองท่องเที่ยว ภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” เปิดพร้อมกัน 3 จังหวัด วันที่ 21-22 พ.ย.63 รวมมูลค่า 2,450 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2 วัน แตะ 300 ล้านบาท ระบุสนใจซื้อที่ดินจังหวัดภาคกลาง-เหนือ พัฒนาโครงการต่อเนื่อง ตั้งเป้ากวาดยอดขายรวมปีนี้แตะ 33,500 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือ AP เปิดเผยว่า จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายเริ่มหันไปพัฒนาโครงการบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทนั้น สำหรับตนมองว่าตลาดบ้านเดี่ยวในพื้นที่กทม.นั้น โอกาสที่จะพัฒนาระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท คงเป็นไปได้ยากมาก ด้วยต้นทุนที่ดินที่สูง จึงเหมาะที่จะพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์มากกว่า ส่วนต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองหลัก AP จะเลือกทำเลที่เป็นไพร์ม แอเรีย

จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดฯ ที่ตามแผนเดิมปี 2563 นี้ จะพัฒนาทั้งสิ้น 4 โครงการ รวมมูลค่า 12,100 ล้านบาท ต้องเลื่อนการพัฒนาออกไป จนกว่าสถานการณ์ตลาดจะดีขึ้น ขณะที่โครงการแนวราบนั้น ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ยังเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง

ด้านการซื้อที่ดินนั้น ตามแผนเดิมในปีนี้ตั้งงบไว้ที่ 8,500 ล้านบาท แต่จากปัจจัยลบต่างๆส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดงบเหลือเพียง 4,500 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกใช้งบซื้อที่ดินไปแล้ว 1,500 ล้านบาท

จากการเคยเข้าไปพัฒนาคอนโดฯในหัวเมืองท่องเที่ยว แล้วได้บทเรียนกลับมา ทำให้เราตัดสินใจที่จะไม่กลับไปพัฒนาคอนโดฯในต่างจังหวัดอีกต่อไป เพราะคอนโดฯนั้นมีข้อจำกัดมาก ประกอบกับพฤติกรรมคนต่างจังหวัดจะชอบอยู่อาศัยโครงการแนวราบมากกว่า ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการเลือกสินค้า และปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่าคอนโดฯ” นายวิทการ กล่าว

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทในไตรมาส4/2563 มีแผนเปิดตัวทั้งสิ้นเกือบ 10 โครงการ ทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ รวมมูลค่า 9,430 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการรุกตลาดแนวราบหัวเมืองท่องเที่ยว 3 จังหวัด ภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” (APITOWN) พัฒนาในรูปแบบของโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ (Mix Products) ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ซึ่งจะเปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการ ใน 3 จังหวัด  รวมมูลค่า 2,450 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการ “อภิทาวน์ ขอนแก่น” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร่เศษ ขนาดที่ดินตั้งแต่ 20-65 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่3.79-8 ล้านบาท จำนวน 279 ยูนิต มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท

จังหวัดขอนแก่น ถือเป็นในหนึ่งจังหวัดที่มีวิสัยทัศน์เป็นสมาร์ทซิตี้ ที่เป็นรูปธรรมที่สูงที่สุด เป็นศูนย์กลางการศึกษาที่มีคุณภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 3.5-4% ต่อปี รายได้เฉลี่ยของประชากรสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือที่ 132,950 บาท/คน/ปี

2.โครงการ “อภิทาวน์ ระยอง” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร่เศษ ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.35-8 ล้านบาท จำนวน 286 ยูนิต มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท

จังหวัดระยอง ถือเป็น 1 ในจังหวัดในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่มีการลงทุนโครงการระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐคิดเป็นมูลค่ามหาศาล โดยในช่วงปี 2550-2560 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงถึง 60%  รายได้ประชากรต่อหัวในปี 2561 สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่ 1,067,449 บาท/คน/ปี มีโรงงายในพื้นที่ถึง 3,057 แห่ง และแรงงาน จำนวน 182,000 คน มีประชากรแฝงมากถึง 400,379 คน

3.โครงการ “อภิทาวน์ นครศรีธรรมราช” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 34 ไร่เศษ ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.19-8 ล้านบาท จำนวน 215 ยูนิต มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท

จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และเป็นประตูเศรษฐกิจภาคใต้ โลจิสติกส์ ฮับ รองรับตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงเป็นอันดับ 4 ของภาคที่164,375 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 109,050 บาท/คน/ปี

โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์เลือกเจาะตลาดหัวเมืองต่างจังหวัดสำคัญ ที่จะเข้าไปลงทุน ผ่านศักยภาพและโอกาสในการลงทุน 4 มิติหลัก ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเข้าไปทำตลาด ได้แก่

1.มิติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ โดยเน้นจังหวัดที่มีความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม

2.มิติการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายมิติ มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจแหล่งงานที่สร้างรายได้จากหลายเซ็กเมนต์ (อุตสาหกรรม การลงทุน การเกษตร และการท่องเที่ยว)

3.มิติการขยายตัวของความเป็นเมืองและการเติบโตของกำลังซื้อ ที่ใกล้เคียวกับกทม.

4.มิติการเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆในการดึงดีมานด์ในจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย

ซึ่งทั้ง 3 โครงการที่เลือกเข้าไปทำตลาด จะใช้เป็นหัวหอกครั้งแรก โดยจะเปิดพรีเซลพร้อมกันในวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2563 ตั้งเป้ายอดขาย 2 วันที่  300 ล้านบาท (โครงการละ 100 ล้านบาท)แม้ว่าราคาจะสูงกว่าคู่แข่งในบางพื้นที่ แต่มั่นใจว่าด้วยฟังก์ชั่นที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้มค่าจากเม็ดเงินที่ลงทุนไป

“จากพันธกิจใหญ่เอ็มพาวเวอร์ ลิฟวิ่ง (EMPOWER LIVING) ที่พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมสามารถเติมเต็มการใช้ชีวิตได้ตามที่ปรารถนา ในวันนี้เอพีพร้อมสร้างความแตกต่างให้กับตลาดอสังหาฯ หัวเมืองใหญ่ ด้วยการขับเคลื่อนขยายขอบเขตการลงทุนเพิ่มพอร์ตโครงการเครือเอพีในต่างจังหวัด โดยนำทัพสินค้าแนวราบที่แข็งแกร่งของเรา ตอบดีมานด์ลูกค้าหัวเมืองใหญ่ที่มองหาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่คุณภาพมาตรฐานจากท็อปแบรนด์ ผ่านแบรนด์ใหม่ ‘อภิทาวน์’ ซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าระดับกลางในพอร์ตโครงการต่างจังหวัด ของเอพี” นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากทั้ง 3 โครงการประสบความสำเร็จ ก็จะนำไปประยุกต์ใช้กับจังหวัดอื่นต่อไป ซึ่งในปี 2564 อาจจะมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งมีหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคกลางที่ให้ความสนใจ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน โดยจะใช้ที่ดินประมาณ 30-49 ไร่/โครงการ ราคาที่ดินประมาณ 4-6 ล้านบาท/ไร่

อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2563 ไว้ที่ 33,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมแล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการแนวราบที่ 20,900 ล้านบาท คิดเป็น 93% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท ส่วนอีกประมาณ 3,100 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม โดยในช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท จะมาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*