ในต้นเดือนกันยายน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ออกมาคาดการณ์ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2563 ทั้งปีจะอยู่ที่ 4 แสนล้านบาท แม้จะลดลงจากปีที่แล้วที่ทำรายได้รวมที่ 1 ล้านล้านบาท แต่ล่าสุดก็ยังพบสัญญาณบวกจากการท่องเที่ยวของผู้คนในประเทศ รวมทั้งข่าวล่าสุดที่ครม.ไฟเขียวเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ ภายใต้มาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งเป็นข่าวดีที่ส่งผลให้ด้านธุรกิจการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัว ซึ่งสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวนี้ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์หัวเมืองท่องเที่ยวเช่นกัน เพราะมีความเกี่ยวโยงกับกำลังซื้อ รวมถึงการลงทุนทั้งในด้านการพัฒนาโครงการใหม่ และการลงทุนสำหรับปล่อยเช่าของนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ดีแม้ว่าที่ผ่านมาการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่หัวเมืองท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบของโควิด-19 อย่างหนัก แต่หากนักลงทุนที่มีกระแสเงินสดและสภาพคล่องทางการเงิน ก็นับว่ามีความพร้อมที่สามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการศึกษาและหาข้อมูลสำหรับลงทุนเพื่อเตรียมการรับมือสำหรับอนาคต พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เองก็ประเมินว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยจะกลับมาได้ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากประเทศไทยมีความโดดเด่นที่เป็นเมืองจุดมุ่งหมายของการท่องเที่ยว รวมถึงชาวต่างชาติก็มีความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของซีไนน์ โฮเทลเวิร์คส์ และ เดลิเวอร์ริ่ง เอเชีย พบว่าไทยยังเป็นอันดับ 1 ของเมืองท่องเที่ยวที่คนจีนอยากเดินทางมาเที่ยวมากที่สุดหลังโควิด สูงถึง 71%

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงเมืองท่องเที่ยวที่ชาวจีนให้ความนิยม เชียงใหม่ ถือเป็นเมืองที่อยู่ในลิสต์ที่ชาวจีนอยากไปเยือนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นหากภาพรวมของ โควิด-19 กลับมาดีขึ้น เชื่อว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่ออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เชียงใหม่อย่างมาก ไม่เพียงแต่ส่งผลดีให้กับนักลงทุนปล่อยเช่าเท่านั้น แต่ชาวจีนยังมีความต้องการบ้านหลังที่สองในประเทศไทยมาก รวมถึงยังมีความต้องการจากฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ ซึ่งจากสัญญาณความต้องการเดินทางมาประเทศไทยของชาวจีนที่ยังอยู่ในระดับสูงนั้น ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่น่าจับตา โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองของนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการบางรายยังเปิดเผยว่ามีความพร้อมที่จะไปโรดโชว์โครงการที่จีนทันทีที่มีการเปิดประเทศ จากการวิเคราะห์ศักยภาพด้านการลงทุนและเชื่อมั่นในศักยภาพการท่องเที่ยวของไทย
ขณะเดียวกันเชียงใหม่เองก็อยู่ในแผนการพัฒนาเมืองทั้งด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น สนามบินแห่งที่ 2 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นอกจากปัจจัยด้านการท่องเที่ยวแล้ว ด้านการอยู่อาศัยเชียงใหม่ยังเป็นหนึ่งในเมืองของโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน โดยกรอบการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 4 ด้าน ได้แก่ ชุมชนอัจฉริยะ (Smart Living) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) คมนาคมอัจฉริยะ (Smart Mobility) และสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) ซึ่งการพัฒนาเมืองเป็น Smart City นอกจากจะช่วยให้เชียงใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ยังดึงดูดด้านการเป็นที่อยู่อาศัยแห่งที่สองสำหรับคนทำงานหรือผู้ที่มาประกอบธุรกิจในเชียงใหม่ได้ รวมถึงสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากหลายภาคส่วนที่รวมภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เชียงใหม่ยังถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง จึงเรียกได้ว่าเชียงใหม่เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีความครบถ้วนสำหรับการอยู่อาศัยที่น่าสนใจในอนาคต

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*