“เวสเทิร์นเดคอร์คอร์ปอเรชั่น”รุกหนักขยายตลาดกระเบื้องปูพื้น–บุผนัง ลุยเปิดโชว์รูมเพิ่มคาดภายใน 3 ปี มี 12 สาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดทุ่ม 15 ล้านบาท เปิดตัวสาขา”พัทยา”พร้อมยื่นไฟล์ลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI ไตรมาส 3/ 2563 สิ้นปีตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10 % เป็นกว่า 700 ล้านบาท
นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (WDC) ดำเนินธุรกิจนำเข้าวัสดุตกแต่งบ้านประเภท กระเบื้องปูพื้น-บุผนังและสุขภัณฑ์จากทวีปยุโรปและเอเชีย เปิดเผยว่าบริษัทฯมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ( MAI) คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/2563 นี้จะมีความชัดเจนในการยื่น Filing การนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ดังนี้
- รองรับการเพิ่มทีมขายเป็นสองเท่าจากเดิมที่มีอยู่
- เพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
- การทำโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่เป็นดีลเลอร์
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้จะเป็นการระดมทุน ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯมีเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 100 ล้านบาท มีแผนเพิ่มทุนเป็น 200 ล้านบาท และปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือครอบครัว“ หิรัญญนิธิวัฒนา” ถือกว่า 90 %
สำหรับในปี 2563 นี้บริษัทฯมีแผนรุกตลาดอย่างเต็มที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลักภายใต้คอนเซปต์ “The Best Customer Experience” ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า(Customers Experience) เน้นทั้งความหลากหลายของสินค้า ที่สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้หลายรูปแบบ ทั้งในแง่ดีไซน์ ความสวยงาม ขนาดการใช้งาน และพื้นที่ใช้สอย และยังสามารถให้บริการแบบครบวงจรหรือที่เรียกว่า “One Stop Service”
ทั้งนี้ ในการทำการตลาดในประเทศนั้นนอกจากจะขายส่งแล้ว บริษัทฯยังให้ความสำคัญการขายหน้าโชว์รูมในประเทศที่ปัจจุบันมีอยู่ 6 แห่ง ในรูปแบบ stand-alone แต่ละแห่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 150-500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 4-20 ล้านบาทต่อสาขาคือได้แก่ Crystal Design Center (CDC), นิมิตใหม่, หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต และพัทยา ใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาทซึ่งเปิดดำเนินการในเดือนมีนาคม 2563 และมีแผนที่จะเปิดสาขาที่ 7 ที่บางนา-ตราด เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าในโซนบางนา ตั้งอยู่ที่โครงการ For You Park และจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563
ส่วนตลาดในต่างประเทศบริษัทฯมีแผนในการเปิดตัวโชว์รูม ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม และ มาเลเซีย ลักษณะการลงทุนจะร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ในการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านโชว์รูมนั้นภายใน 3 ปื(2564-66) จะเปิดให้ได้ 12 สาขา(ทั้งในประเทศและต่างประเทศ) ทั้งนี้ บริษัทฯมีคลังสินค้าอยู่ที่ลำลูกกา คลอง7บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร มีสต๊อกสินค้าพร้อมส่ง รองรับได้ที่กว่า 6 เดือน ถึง 1 ปี
เพื่อกระตุ้นการขายในภาวะที่ตลาดชะลอตัวและเพื่อสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ผู้บริโภคในตลาดระดับกลาง-บน ในปี 2563 บริษัทฯได้วางแผนการตลาดผ่านการประชาสัมพันธ์ผ่านทางออฟไลน์และออนไลน์ ได้ตั้งงบประมาณการตลาดไว้ที่ 2-3% ต่อปีจากยอดขายในแต่ละปี โดยในปีนี้ ตั้งยอดขายเติบโต 8-10% เป็นกว่า 700 ล้านบาทจากปี 2562 ที่ทำยอดขายรวมได้ที่ 670 ล้านบาท(ในปี 2561 ที่มียอดขายอยู่ที่ 614 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิที่ 6-8% และถึงแม้สถานการณ์ของตลาดชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจและปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯยังไม่มีแผนที่ปรับเป้ายอดขายใหม่ในขณะนี้คงต้องรอประเมินสถานการณ์สักระยะก่อนตัดสินใจประกอบกับบริษัทฯมียอดขายรอส่งมอบให้กับลูกค้ารองรับรายได้อยู่ประมาณ 60 %
“ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยอมรับว่ากระทบกับการนำเข้าสินค้าแต่ก็ไม่มาก เนื่องจากว่ามีสต๊อกสินค้าไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้าอยู่แล้ว ประกอบกับบริษัทฯนำเข้ามาจากหลายประเทศ จึงลดความเสี่ยงการพึ่งพาสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง”นายบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย