อัลติจูดฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี63 ยังแข่งเดือด ใครปรับตัวเร็วจะอยู่รอด ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น แนะรัฐบาลเปิดช่องผู้บริโภคนำเงินออมเข้าสู่ระบบ หวังให้เศรษฐกิจหมุนเวียนต่อ แย้มแผนปีหนูทองจ่อเปิดเซกเมนต์ใหม่-เดินทางร่วมทุนโครงการแนวสูง-ราบกับพันธมิตรไทย-เทศต่อเนื่อง คาดนำบริษัทเข้าจดทะเบียนตลาดmaiในปี64 ตั้งเป้าขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ประกอบการเด่นภายใน10 ปี
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2563 ว่า จะมีการแข่งขันที่รุนแรงกว่าเดิม แต่จะเห็นโครงการที่มีคุณภาพเข้ามาในตลาดมากขึ้น ผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้เร็วก็สามารถอยู่รอด  ผู้ซื้อจะมีทางเลือกมากขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการของภาครัฐที่ประกาศออกมาช่วยเหลือ จะเป็นการส่งสัญญาณว่าภาคอสังหาฯในปี2563 จะดีขึ้น เพราะที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆถือว่ายังถูกกว่า อีกทั้งกรุงเทพมหานครยังถือว่าเป็นเมืองที่อยู่ในประเทศที่มีการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคมากที่สุดติด 10 อันดับแรกของโลกอีกด้วย

อย่างไรก็ตามจากการที่รัฐบาลออกมาตรการต่างๆมาสนับสนุนภาคอสังหาฯ แต่ตนก็อยากฝากถึงรัฐบาลในการช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจอีกเรื่องหนึ่งคือ ควรเปิดช่องให้ผู้บริโภคยอมนำเงินออมเข้ามาสู่ระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถหมุนเวียนต่อไปได้  โดยมีเงื่อนไขว่าหากซื้ออสังหาฯด้วยเงินสด จะสามารถลดหย่อนภาษีเมื่อขายสินทรัพย์ออกได้ ในกรณีการโอนทรัพย์สินที่เป็นมรดกให้ทายาท ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้จะทำให้ภาคอสังหาฯให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย และจะไม่เกิดปัญหาแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หวั่นวิตกว่าจะเกิดการลงทุนที่เกินตัว

ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัทฯเองนั้นตลอดปี 2562 ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่สวนกระแสเศรษฐกิจ โดยสามารถเปิดตัวโครงการได้ตามเป้าที่วางไว้ จำนวนทั้งสิ้น 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3,700 ล้านบาท ทั้งนี้มาจากหลายปัจจัยสนับสนุนคือ มีพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งมาร่วมทุนพัฒนาโครงการ ,สถาบันการเงินให้สนับสนุนในการปล่อยสินเชื่อ และทุกโครงการที่เปิดขายมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้  อีกทั้งมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV)ก็ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทฯมากนัก โดยมียอด Reject เพียง 10% เท่านั้น เนื่องจากทุกโครงการที่พัฒนาจะเก็บเงินทำสัญญาและเงินดาวน์ 15-30%

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯจะมีการเปิดตัวเซกเมนต์ใหม่เกี่ยวกับอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งอาจจะเป็นการพัฒนาเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตร โดยในปีหน้าคาดว่าจะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประมาณ 2 โครงการ ซึ่งมีทั้งแนวสูงและแนวราบ  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ส่วนการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์mai นั้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในปี 2564 ซึ่งต้องดูสภาวะตลาด โดยคาดว่า ณ เวลานั้นบริษัทฯจะมียอดขายประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปี 2562 ที่คาดว่าจะทำยอดขายได้มาณกว่า 2,400 ล้านบาท และรับรู้รายได้ประมาณ 500 ล้านบาท

ด้านความคืบหน้าโครงการ“อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ” ซึ่งเป็นการร่วมทุน กับ ครีท กรุ๊ป (Creed Group) ในการตั้งบริษัท อัลติจูด ครีท ตลาดพลู จำกัด ขึ้นมา ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ฯ ถือหุ้น 51% และ ครีท กรุ๊ป ถือหุ้น 49%  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่  ในรูปแบบคอนโดมิเนียมไฮไรส์ สูง 34 ชั้น ขนาด 23.64-69.28 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.19-4.8 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 100,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 711 ยูนิตมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท  ซึ่งเปิดพรีเซลเมื่อวันที่ 20-21 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% โดยเป็นลูกค้าคนไทยประมาณ 35% และต่างชาติ 25% ในจำนวนดังกล่าวเป็นลูกค้าฮ่องกง และจีน มากที่สุด


ด้านนายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยรูปแบบการพัฒนาและการทำตลาดอสังหาฯที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งบริษัทฯก็มีผลประกอบการที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด คาดว่าภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า บริษัทฯจะสามารถขึ้นติดอันดับ 1 ใน 10 บริษัทอสังหาฯไทย โดยจะมีมูลค่าโครงการที่พัฒนารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท

“ผู้ประกอบการที่ทำการทำตลาดแบบเดิมๆจะ Out Date มาก เนื่องจากเทคนิคการตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงทุก 1-2 ปี ซึ่งในส่วนของอัลติจูดฯจะใช้วิธีการทำตลาดแบบ “คนรู้ใจ” ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ส่งผลให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์สินค้าได้มากขึ้น”นายขวัญชัย กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*