แอสเซทไวส์ฯแนะรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันปรับขึ้นดอกเบี้ย หวั่นกระทบการผ่อนของกำลังซื้อ การปรับราคาวัสดุก่อสร้างและธุรกิจโลจิสติกส์ ประกาศยังไม่มีนโยบายปรับราคาสินค้า เดินหน้ารุกผุด “แคมปัส”รอบมหาวิทยาลัยต่อเนื่อง เล็งจ่อผุด 2 โครงการพื้นที่กทม.ปริมณฑล ในปีนี้ ด้าน“เคฟทาวน์ โคโลนี่”ยอดขายพุ่งแล้ว 43% จ่อเปิดขายรอบทั่วไป 2 ก.ค.นี้ พร้อมการันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเข้าสูงถึง 8-10 % มั่นใจกวาดยอดขายรวมได้ตามเป้าหมายที่ 10,000 ล้านบาท และรายได้แตะ 6,000 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ
ASW
เปิดเผยถึงปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจอสังหาฯในปี 2565 ว่า คงเป็นเรื่องดีมานด์ ที่มีความกังวลในเรื่องเงินสะสมที่จะเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยหรือไม่ จากการปรับขึ้นของน้ำมันที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกธุรกิจต้องปรับราคาสินค้าขึ้นเช่นกัน อีกทั้งในเรื่องของเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ที่จะกระทบต่อกำลังผ่อนของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยังมีมาตรการด้านการลดค่าการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2 % และค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 % พอที่จะช่วยเหลือลูกค้าและเป็นแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัยได้บ้าง ดังนั้นผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยจึงอยากให้รีบตัดสินใจซื้อในปีนี้ เพราะในปี 2566 ราคาที่อยู่อาศัยจะปรับขึ้นอย่างน้อย 5% อย่างแน่นอน ซึ่งในส่วนของบริษัทฯในขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะปรับขึ้นราคาขายที่อยู่อาศัยแต่อย่างใด ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมด้วย

“อยากให้รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทย ด้วยการดึงนักลงทุนต่างประเทศเช้ามาลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านผู้บริโภคก็อยากให้ภาครัฐควบคุมเรื่องการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมัน ไว้ก่อน เพราะมีผลต่อต้นทุนการก่อสร้าง และโลจิสติกส์ ทั้งหมด”นายกรมเชษฐ์ กล่าว

นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในรูปแบบแคมปัสบริเวณรอบมหาวิทยาลัยต่างๆในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้แบรนด์ “เคฟ” ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยที่ผ่านมาได้พัฒนาแคมปัสโดยรอบ 4 มหาวิทยาลัยแล้ว คือ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และในปี 2565 นี้บริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบแคมปัสให้ได้อีก 2 แห่ง ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดและโอกาสในพัฒนา โดยมีที่ดินรองรับหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“การพัฒนาคอนโดฯในรูปแบบแคมปัส ควรเลือกซื้อที่ดินในราคาไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางวา และต้องอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อนำมาพัฒนาขายได้ในราคาไม่เกิน 1.5-1.6 ล้านบาท/ยูนิต หรือประมาณ 70,000-80,000 บาท/ตารางเมตร” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A)  โครงการคอนโดฯอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเป็นโครงการที่เหมาะสม (Match)กับบริษัทด้วย ซึ่งขณะนี้มีนำมาเสนอขายประมาณกว่า 10 โครงการ ทั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลด้วย

ส่วนความคืบหน้าโครงการ“เคฟทาวน์” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 64 ไร่ ติดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต มีแผนแบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พัฒนามาแล้ว 2 เฟส คือ โครงการเคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space) และเคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ซึ่งปัจจุบันปิดการขายแล้ว 100% ซึ่งทั้ง 2 โครงการ สามารถปล่อยเช่าได้ตั้งแต่ราคา 10,000-20,000 บาท/เดือน

ส่วนเฟสที่ 3 คือ “เคฟทาวน์ โคโลนี่” (Kave Town Colony) บนทำเลย่านรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่เศษ พัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 21-34 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 1.55-3 ล้านบาท จำนวน 1,083 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,800 ล้านบาท โดยได้เปิดพรีเซลในรอบ VVIP ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 448 ยูนิต หรือคิดเป็น 43% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด ซึ่งสัดส่วน 80% เป็นการซื้อเพื่อการลงทุน และ 20% เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ทั้งนี้จะเปิดขายในรอบทั่วไปวันที่ 2 กรกฎาคม 2565 คาดว่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 650 ยูนิต

โดยโครงการ “เคฟทาวน์ โคโลนี่” ถือเป็นโครงการที่มีอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield) สูงสุดถึง  8-10 %  จึงมีความคุ้มค่าทั้งกับการอยู่อาศัยเอง หรือการลงทุน  คือสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาตั้งแต่ 9,500-17,000 บาท/เดือน โดยโครงการจะเริ่มการก่อสร้างไตรมาส 4/2565 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567

สำหรับที่ดินที่เหลืออีก 20 ไร่ บริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดฯในเฟสที่ 4 จำนวน 17 ไร่ และอีก 3 ไร่ จะพัฒนาในรูปแบบของ “สปอร์ต วิลเลจ” คาดว่าเฟสดังกล่าวจะเปิดตัวได้ในปี 2566 หากพัฒนาครบทั้ง 4 เฟส จะมีมูลค่าโครงการประมาณ 9,500 ล้านบาท

ส่วนโครงการ “เคฟ ซี้ด เกษตร” ซึ่งเป็นการพัฒนาคอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณเดือนกรกฎาคม 2565 ขณะนี้มียอดผู้ลงทะเบียนสนใจแล้วประมาณ 200 กว่าคน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆได้ในขณะนี้

“การพัฒนาแบรนด์เคฟ (KAVE) ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของแอสเซทไวส์ โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่เปิดตัวโครงการแรก จนปัจจุบันที่มีจำนวน 8 โครงการ และยังมีแผนเปิดโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยของทำเลที่ตั้ง ความสะดวกในการเดินทาง ดีไซน์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะนักศึกษาในแต่ละพื้นที่ของโครงการ ทำให้โครงการภายใต้แบรนด์ KAVE โดนใจกลุ่มเป้าหมายทั้งผู้อยู่อาศัยจริงและนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 6,000 ล้านบาท

 

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*