แสนสิริฯเผยทำเลกรุงเทพกรีฑา ยังมีดีมานด์ต้องการที่อยู่อาศัยระดับหรูต่อเนื่อง ส่งผลราคาที่ดินพุ่งสูงถึง 150% ในระยะเวลา 10 ปี ล่าสุดราคาอยู่ที่ 140,000 บาทต่อตารางวา ปี 65 จ่อนำที่ดินอีก 161 ไร่ พัฒนาบ้านเดี่ยวหรู 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 9,300 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวในไตรมาส 3-4 นี้ ระบุปล่อยเช่าผลตอบแทนสูง 7-9% ต่อปี หรือ 50,000-120,000 บาท/เดือน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน–ยุโรป คาดพัฒนาเต็มพื้นที่ 500 ไร่ 7 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท ภายในปี 68 ตั้งเป้ายอดขาย–รายได้โครงการแนวราบทั้งปีที่ 24,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ กำลังเติบโตสู่เมืองขยาย เกิดเป็น “คอมมูนิตี้ ในเมืองใหญ่” คล้ายการเติบโตเมืองใหญ่ทั่วโลก การจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเกาะกลุ่มด้วยโลเคชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้าต่อขยายออกไปอย่างต่อเนื่องสิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมอยู่ในศูนย์กลางกรุงเทพชั้นใน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบกรุงเทพฯ ประกอบกับโครงข่ายการคมนาคมที่ทำให้การเดินทางเข้าสู่เมืองง่ายมากขึ้น ทั้งนี้ แสนสิริเล็งเห็นว่า ทำเล “กรุงเทพกรีฑา” จะเป็นอีกหนึ่งทำเลในเมืองใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาและเติบโตสูง จึงพัฒนา “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” (Krungthep Kreetha Community) รองรับการ พัฒนาสังคมอยู่อาศัยประมาณ 500 ไร่ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท สนองความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2557-2558 โดยถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆที่เข้ามาพัฒนาในย่านดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 2 โครงการ คือ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา และเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 จำนวน 155 ไร่ รวม 483 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 7,500 ล้านบาท
โดยมองว่า“กรุงเทพกรีฑา” นับเป็นคอมมูนิตี้การอยู่อาศัยที่น่าจับตามอง เพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับเรสซิเดนซ์เชียลของโครงการแนวราบ ในกรุงเทพฯ โซนตะวันออก จากทำเลศักยภาพที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ “ผังเมืองสีเหลือง” ของกรุงเทพฯ ซึ่งหมายถึงพื้นที่มีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยน้อย และเป็นเขตปลอดแหล่งอุตสาหกรรม เหมาะแก่การเป็นที่อยู่อาศัยที่เน้นคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี ประกอบกับมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นทำเลในเมือง เดินทางง่ายสู่กรุงเทพชั้นใน (CBD) ด้วยถนนสายหลักตัดใหม่ อย่างถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ถนนศรีนครินทร์ – ร่มเกล้า) เชื่อมต่อรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง และใกล้รถไฟฟ้าถึง 3 สาย คือสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างตามแนวถนนศรีนครินทร์คาดว่าจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่จะเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพฯ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2566 รวมถึงรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และยังเป็นทำเลที่อยู่ใกล้ สนามบินสุวรรณภูมิ อีกด้วย ส่งผลให้ราคาที่ดินของทำเลกรุงเทพกรีฑาพุ่งสูงขึ้นถึง 150% ในระยะเวลา 10 ปี โดยเฉพาะราคาที่ดินในช่วงต้นถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ล่าสุดราคาอยู่ที่ 140,000 บาทต่อตารางวา ส่งผลให้ความต้องการการอยู่อาศัยในพื้นที่นี้ที่ขยายตัวอันดับหนึ่ง หรือเติบโตขึ้นประมาณ 10%ต่อปี
ดังนั้นบริษัทฯจึงมีแผนนำที่ดินอีก 161 ไร่ จำนวน 3 แปลง มาพัฒนาบ้านเดี่ยวหรูอีก 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 9,300 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.”นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา” พื้นที่โครงการ 57 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 86 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 40-100 กว่าล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2565
2.”บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 85 ไร่ เป็น บ้านเดี่ยว จำนวน 276 ยูนิต ราคา 12.59-35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 3/2565
3.”บูก้าน กรุงเทพกรีฑา” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 19 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 48 ยูนิต ราคา 25-40 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2565
“ปัจจุบันทำเลกรุงเทพกรีฑา มีทั้งดีมานด์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีซัพพลายเพิ่มขึ้นตาม ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้ราคาที่ดินทำเลดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อ 10 ปีที่แล้วราคาบ้านเดี่ยวที่เราพัฒนา อยู่ที่ราคาประมาณ 6-12 ล้านบาท แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับสูงขึ้นเป็นเท่าตัว อยู่ที่ 12-20 กว่าล้านบาทขึ้นไป ขณะเดียวกันสามารถปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติที่การันตีผลตอบแทนจากการลงทุนได้ถึง 7-9% ต่อปี หรือปล่อยเช่าได้ 50,000-120,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับการตกแต่งบ้านแต่ละหลัง โดยชาวต่างชาติที่นิยมเช่ามากสุดเป็นชาวจีน รองลงมาเป็นขาวยุโรป ส่วนใหญ่นิยมบ้านขนาด 3 ห้องนอน โดยแต่ละโครงการจะมีผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติประมาณ 8-10 ยูนิต” นายอุทัย กล่าว
ทั้งนี้ในทำเลดังกล่าวบริษัทฯยังเหลือที่ดินในการพัฒนาอีก 2 แปลง จำนวน 181 ไร่ (จาก 500 ไร่)ซึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นบ้านหรูในปี 2566-2568 ซึ่งจะพัฒนาเต็มพื้นที่ 500 ไร่ รวม 7 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 30,000 ล้านบาท
“จากการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าและความสำเร็จในการพัฒนาโครงการแนวราบของแสนสิริในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมายังส่งผลให้แสนสิริ มียอดขายจากโครงการแนวราบแล้วไปแล้ว 8,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 40% จากเป้ายอดขายและรายได้โครงการแนวราบที่วางไว้ 24,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดขายที่ดีที่จะดันให้ทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอุทัย กล่าว
ด้านนายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า นอกจากนี้แสนสิริยังมีเพื่อนบ้าน (Neighborhood) พันธมิตรชั้นนำ ที่มาร่วมเติมเต็มให้ กรุงเทพกรีฑาคอมมูนิตี้ เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อาทิ โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ ที่อยู่ใกล้เพียง 900 เมตร โรงเรียนนานาชาติ เวลลิงตัน คอลเลจ ที่อยู่ใกล้เพียง 3.2 กิโลเมตร โรงเรียนนานาชาติ แมนดาริน ที่อยู่ใกล้เพียง 1.2 กิโลเมตร โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีนครินทร์ เพียง 4.2 กิโลเมตร และมาร์เก็ต เพลส คอมมูนิตี้ มอลล์จากสยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ (SF) เพียง 2.5 กิโลเมตร ที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สู่การเป็นเมืองแห่งสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบที่ดีที่สุดแห่งต่อไป พร้อมอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญ Design – Facility – Security ดีไซน์และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางสำหรับลูกบ้านแสนสิริในทุกโครงการ อาทิ คลับเฮาส์พร้อมสระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส สวนส่วนกลาง สนามเด็กเล่น และ Sansiri Backyard สวนผักปลอดสาร ที่มีอยู่ในแต่ละโครงการ รวมถึงความปลอดภัยในการอยู่อาศัยที่อุ่นใจตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย SECURITY พร้อม LIV-24 ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานแสนสิริ รวมถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบโครงการ อาทิ “The Greenery Line” หรือ ถนนสีเขียวที่ขนาบด้วยต้นไม้ใน 2 ข้างทางพร้อมเสาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และการวางระบบสายไฟลงใต้ดิน เพื่อปล่อยให้ต้นไม้ตลอดเส้นทางเติบโตได้อย่างเต็มที่ กลายเป็นถนนอุโมงค์สีเขียวชอุ่มในอนาคต ตลอดแนวระยะทางกว่า 1.7 ก.ม. ที่ตัดผ่านพื้นที่ 500 ไร่ ทะลุสู่ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์ – ร่มเกล้า) และถนนรามคำแหงได้ในเวลาเพียง 2 นาที
