ไรมอน แลนด์ฯปรับแผนระยะ 5-10 ปี เดินเกมภายใต้ 3 กลยุทธ์ รุกอสังหาฯกลุ่มBRANDED RESIDENCES –ร่วมทุนพันธมิตรมากขึ้นและหันจับตลาดแนวราบลักชัวรีย่านใจกลางกรุงเทพฯ หวังรับรู้รายได้เร็ว ลดความผันผวนทางธุรกิจ แย้มปี 65 ประกาศเปิดตัวใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,000 ล้านบาท ด้านศูนย์ Data Center ในประเทศ  คาดเห็นความชัดเจนการลงทุนในไตรมาส 4/65 ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้แตะ 7,200 ล้านบาท และรายได้ 2,200 ล้านบาท
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ RML เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในระยะเวลา 5-10 ปีนี้ว่า จะรุกใน 3 เรื่องหลัก คือ การมุ่งสู่งอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม BRANDED RESIDENCES มากขึ้นในสัดส่วน 70-80% ,แผนกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ ซึ่งเน้นการร่วมทุนกับพันธมิตรในการพัฒนาโครงการมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนและลดความเสี่ยง และหันรุกการพัฒนาโครงการแนวราบวิลล่า ระดับลักชัวรี่ย่านใจกลางกรุงเทพฯ ในทุกรูปแบบ ระดับราคาไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท ซึ่งในระยะแรกบริษัทฯจะเน้นการพัฒนาเอง แต่ในอนาคตก็พร้อมที่จะเปิดกว้างให้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุน โดยการหันมารุกตลาดแนวราบในครั้งนี้เพื่อทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้กลับมาได้เร็วขึ้น รวมถึงการสร้างรายได้ประจำเข้ามาเสริม เพื่อลดความผันผวนจากรายได้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย และจะเน้นการพัฒนาโครงที่ใช้เงินในการลงทุนที่ไม่สูงมากและสามารถนำที่ดินมาพัฒนาได้ทันที  ทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืน และฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งการพัฒนาสินค้าในรูปแบบนี้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งระยะเวลา 5-10 ปีนี้ ตั้งเป้าพัฒนาโครงการแนวราบในสัดส่วนประมาณ 20-30%

“การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยยังคงเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับ Luxury เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ RML ที่มุ่งเน้น แต่จะมีการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการในส่วนของโครงการที่จะหันมาเป็น Branded Residence มากขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในและต่างประเทศต่างให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่มีการบริการที่ครบครันและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเข้ามาเสริม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการที่พัฒนาและสร้างความภาคภูมิใจในการอยู่อาศัยของลุกค้าที่ซื้อโครงการระดับลักชัวรี” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดังนั้นปี 2565 บริษัทฯจึงเตรียมเปิดตัวใหม่ทั้งหมด 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการ Rosewood Residence Kamala จ.ภูเก็ต พัฒนาในรูปแบบของวิลล่าระดับซูเปอร์ลักชัวรี ระดับราคา 500-1,000 ล้านบาท จำนวน 14 หลัง  มูลค่าโครงการ 7,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการ Branded Residence แห่งแรกของบริษัทในรูปแบบวิลล่า  คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 3/2565 นี้

2.โครงการ คอนโดมิเนียม ในรูปแบบ Branded Residence ในย่านสุขุมวิท ที่เป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติประเทศแถบเอเชีย  มูลค่าโครงการประมาณ 5,500 ล้านบาท  ที่เน้นพื้นที่ใช้สอยต่อยูนิตตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าคนไทย รวมไปถึงเศรษฐีคนรุ่นใหม่อายุ 20 ปลายๆจากประเทศเมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม และรัสเซีย

3.โครงการแนวราบ ระดับลักชัวรี ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ  ที่บริษัทพัฒนาเอง 100%  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยราคาขายได้ คาดว่าจะเปิดขายในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 นี้

“ในช่วงวิกฤติโควิด-19 แพร่ระบาดหนัก มองว่าตลาดอสังหาฯโดยเฉพาะคอนโดฯเกิดภาวะโอเวอร์ ซัพพลาย แต่ตลาดลักชัวรีกลับสวนกระแส ลูกค้ามีความต้องการห้องขนาดใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป จึงทำให้ห้องชุดขนาดใหญ่ของบริษัทฯขายดีเป็นอย่างมาก  โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนไทยสัดส่วน 61% และหันมาเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีอายุน้อยลงในช่วง 26-35 ปี และ 36-45 ปี ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% และ 30% ตามลำดับ จากเดิมที่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่ถือว่าเป็นกลุ่มที่เริ่มมีรายได้มากขึ้น จากโอกาสใหม่ๆในการทำงานหรือการลงทุนที่เข้ามา ทำให้เป็นกลุ่มที่เริ่มมองหาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยระดับบนที่ตอบโจทย์ในเรื่องไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยมากขึ้น”นายกรณ์ กล่าว

ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกับสร้ารายได้ประจำของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นี้จะมีการเปิดโรงแรมระดับ Budget คือ “lyf” ในโครงการ “The River เจริญนคร” ซึ่งมีการปรับรูปแบบโรงแรมจากเดิมที่เป็น “Kitch Hotel” หลังจากบริษัทมีพันธมิตรเครือ Ascott เข้ามาบริหารโครงการ และยังมีโครงการอาคารสำนักงานเกรด A ที่เพลินจิต คือ โครงการ ONE CITY CENTRE มูลค่า 8,000 ล้านบาท พื้นที่เช่า 61,000 ตารางเมตร จะเปิดให้บริการในปี 2566 ปัจจุบันมีผู้เช่าที่ตัดสินใจเช่าแน่นอนแล้วรวมพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร และผู้เช่าที่สนใจเข้ามาเช่า ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจรรวมพื้นที่กว่า 36,000 ตารางเมตร โดยมีอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ย 1,300 บาท/ตารางเมตร

ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติในการลงทุนพัฒนาศูนย์ Data Center ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาในการร่วมลงทุนและมองหาพื้นที่ในการลงทุนก่อสร้างศูนย์ Data Center ในประเทศ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในการลงทุนในช่วงไตรมาส 4/2565 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2565 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566 เป็นต้นไป

อีกทั้งในปี 2566 เป็นต้นไปบริษัทฯจะมีรายได้ประจำเข้ามาเพิ่มจากโครงการอาคารสำนักงาน “ONE CITY CENTRE” และโครงการศูนย์ “Data Center” เข้ามาเสริมในรายได้มากขึ้น และจะทำให้เป้าหมายสัดส่วนรายได้ประจำในปี 2568 อยู่ที่ 20% เป็นไปตามเป้าหมาย จากปีนี้คาดว่ามีสัดส่วนรายได้ประจำอยู่ที่ 5% ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อการฟื้นกลันตัวกลับมาของบริษัท

“เรามุ่งมั่นการ Turnaround กลับมาของบริษัทฯ หลังผ่านพ้นโควิด-19 ไปแล้ว จากภาพรวมเศรษฐกิจ ลูกค้าต่างชาติ และความมั่นใจของลูกค้าในประเทศ รวมถึงการปรับการดำเนินธุรกิจของเราที่เน้นการพัฒนาโครงการในกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี ที่เราโฟกัส การทำโครงการที่รับรู้รายได้เข้ามาได้เร็ว และใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนเมื่อก่อน สร้างสมดุลและกระจายรายได้ทั้งอสังหาฯและรายได้ประจำมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ผ่านมาเราก็นำออกไปแล้ว ทำให้เรามีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของไรมอน แลนด์” นายกรณ์ กล่าว

ส่วนงบลงทุนในปี 2565 ตั้งงบไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมา และเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน

ด้านยอดขายในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 7,200 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2,200 ล้านบาท ซึ่งยังคงมาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามามาต่อเนื่องจากโครงการพร้อมอยู่ที่ปัจจุบันบริษัทมีอยู่มูลค่า 71 ล้านบาท ลดลงไปจากสิ้นปี 2563 ที่  1,890 ล้านบาท และการโอนโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จในปีนี้ คือ “The Estelle Phrom Phong” มูลค่า 5,200  ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอนในช่วงไตรมาส 3/2565 และจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทมีความโดดเด่น และเริ่มเห็นการพลิกฟื้นกลับมาอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ และบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้กว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็น Backlog จากโครงการคอนโดมิเนียม “The Estelle Phrom Phong”ที่จะโอนในปีนี้ และ “Tait Sathorn 12” ที่เตรียมโอนในปี 2566

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*