อีสเทอร์น สตาร์ฯเผยอสังหาฯปีเสือยังเผชิญหลายปัจจัยลบรุมเร้า มั่นใจเรียลดีมานด์ตลาดกลาง–ล่าง ยังต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง ระบุแผนระยะ 3-5 ปี ยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศผุดแนวราบ–คอนโดฯในกทม.–ระยอง 4 โปรเจกต์มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ส่วนการร่วมทุนพันธมิตรยังไม่ปิดกั้น อยู่ระหว่างเจรจา 1-2 ราย ตั้งเป้ารายได้–ยอดขายรวมปี 65 ในระดับที่เท่ากัน 1,700 ล้านบาท
ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จากัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาได้ถึงจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ผู้บริโภคยังมีความลังเลที่จะซื้อที่อยู่อาศัย แต่ตนมองว่าช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่จะได้ซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูก ก่อนที่จะปรับราคาขึ้นมา และตลาดแนวราบยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ส่วนตลาดคอนโดฯก็ยังเป็นทางเลือก แต่ต้องดูทำเลที่ตอบโจทย์ด้วย อย่าไรก็ตามในปี 2565 ยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบ คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อรายได้ กำลังซื้อของลูกค้า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่ม ขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ทำให้สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่กลับมา แต่ยังมีปัจจัยบวก จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ปริมาณบ้านคงค้างที่ลดลงจากการชะลอตัวในการเปิดการขายโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ในตลาดสำหรับบ้านแนว ราบและคอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง-ล่าง
ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จากัด (มหาชน) หรือ ESTAR“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาด ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมเร่งสร้างการรับรู้รายได้จากการขายและโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว รวมทั้งหันไปรุกตลาดแนวราบ โดยเปิดโครงการใหม่ คือ เวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ใน จ.ระยอง เป็นบ้านเดี่ยว ราคา 4.5-6.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 27 ไร่ จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 540 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทในปี 2564 มียอดขาย 1,334 ล้านบาท และยอดรายได้อยู่ที่ 1,326 ล้านบาท โดยมีผลกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท”ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว
ดร.ต่อศักดิ์ กล่าววเพิ่มเติมว่า ในส่วนของแผนระยะ 3-5 ปี นั้นบริษัทฯยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีที่ดินสะสมที่รอการพัฒนาอยู่ได้อีกในระยะสั้น โดยเฉพาะที่อ.บ้านฉาง จ.ระยอง และหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีแผนจะเปิดตัวคอนโดฯย่านใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 จะเปิดตัวใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมิกซ์ยูสที่อ.บ้านฉาง จ.ระยอง จำนวน 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในพื้นที่โครงการ “อีสเทอร์น สตาร์ ฟอร์เรสโต้” ซึ่งในภาพรวมจะประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยกว่า 1,000 หลังคาเรือน โดยมีแผนเปิดตัวขายในช่วงกลางปีและปลายปี 2565 และการพัฒนาในกทม. 2 โครงการภายใต้แบรนด์ “Quintara Lite” เป็นคอนโดมิเนียมซีรีย์ใหม่ในราคาที่จับต้องได้ ราคาเริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองทำเลรัชดาและสุขุมวิท โดยนำเอาแนวคิด Smart Living 360 เข้ามาใส่ อาทิ การออกแบบขนาดห้องพักที่พอดีกับไลฟ์สไตล์คนเมือง (Creative Design) นำพื้นที่ทุกตารางนิ้วมาใช้ประโยชน์ ส่วนกลางรองรับวิถีชีวิต New normal & lifestyle ไม่ว่าจะเป็น Pocket seat, Kitchen studio, Workshop space, private class room(Balancing Life) และยังมี สถานี Ev Charger (Environment Friendly)ฯลฯ
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯกำลังมองหาที่ดินทำแนวราบเพิ่ม มูลค่าการลงทุนประมาณ 500-1,000 ล้านบาท ส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติก็ยังไม่ปิดโอกาส ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการคนไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาประมาณ 1-2 ราย
อย่างไรก็ตามในปี 2565 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ระดับ 1,700 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,326.38 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 1,400 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ โดยในปีนี้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลสุขุมวิท 39 ที่จะสร้างเสร็จใหม่ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 80% อีกทั้ง ปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในมือมูลค่ารวมประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนที่จะหนุนการรับรู้รายได้ในปีนี้ ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 1,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 1,334 ล้านบาท
