แคสท์ เอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ฯประกาศรุกเพนท์เฮาส์คอนโดฯคาล์ม เพนท์เฮาส์ อารีย์”ราคา 16.9-32 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 470 ล้านบาท เจาะลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ เผยทิศทางดำเนินธุรกิจสนพัฒนาโครงการเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชย์ ทั้งเปิดกว้างแลนด์ลอร์ดนำที่ดินต่อยอดแบรนด์ KALM PENTHOUSE” ระบุระยะสั้นยังเน้นผุดโครงการทำเลกรุงเทพฯชั้นในเป็นหลัก มั่นใจการโควิด-19 ไม่กระทบกำลังซื้อตลาดกลุ่ม Luxury Segment ชูจุดขายดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์
นายกฤช อรุณรัศมีโชติ
 นายกฤช อรุณรัศมีโชติ กรรมการบริหาร บริษัท แคสท์ เอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า  บริษัทฯดังกล่าว เกิดจากการรวมตัวของนักธุรกิจผู้ที่มีประสบการณ์ด้านอสังหาฯ 3 กลุ่ม ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา  ที่ต้องการพัฒนาที่อยู่อาศัยหรือการใช้เชิงพาณิชย์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงการบ้านแฝด ย่านลาดพร้าว 41 ภายใต้แบรนด์ Flexi” จำนวน 2 ยูนิตๆละ 10-12 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 24 ล้านบาท และขายหมดเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ได้มาพัฒนาโครงการ  คาล์ม เพนท์เฮาส์” (KALM PENTHOUSE) ที่ซอยศูนย์วิจัย  พัฒนาในรูปแบบของเพนท์เฮาส์  ราคา 10-24 ล้านบาท จำนวน 16 ยูนิต มูลค่าโครงการ 230 ล้านบาท และขายหมดภายในระยะเวลา 10 เดือน

หลังจากนั้นจึงได้มีแนวคิดสานต่อโครงการที่สามารถตอบโจทย์หลักของแบรนด์และสอดคล้องกับอินไซต์ของลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกสบายเหมือนการอยู่บ้านในทำเลกรุงเทพฯชั้นใน ที่ต้องมีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันต้องสะดวกต่อการเดินทางและการใช้ชีวิตในทุกมิติ ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ดังกล่าว นับเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ทั้งจากข้อจำกัดของที่ดินและข้อกำหนดด้านกฎหมายต่างๆ

จนกระทั่งเมื่อประมาณปลายปี 2562  ได้ซื้อที่ดินขนาด 218 ตารางวา  ในซอยอารีย์สัมพันธ์ 2 ซึ่งมองว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ถึงแม้จะอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แต่ซอยอารีย์สัมพันธ์ ยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยด้วยความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ไม่มีอาคารสูงภายในซอยที่จะบดบังทัศนียภาพ ขณะเดียวกันยังเป็นย่านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองไว้อย่างครบครัน โดยข้อมูลช่วงครึ่งปีแรก 2564 จากฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด พบว่า ซัพพลายของคอนโดฯระดับราคา 150,000 -250,000 บาทต่อตารางเมตร ในโซนอารีย์ มีทั้งหมด 992  ยูนิต ขณะที่มีดีมานด์ รวมทั้งหมด 640 ยูนิต เพิ่มขึ้น 12.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และมีอัตราการขายอยู่ที่ 65%

จึงได้พัฒนาโครงการคาล์ม เพนท์เฮาส์ อารีย์” (KALM PENTHOUSE ARI ) ขึ้นมาโดย พัฒนาเป็นคอนโดฯในรูปแบบเพนท์เฮาส์ทั้งหมด สูง 7 ชั้น ขนาด 100-175 ตารางเมตร ราคา 16.9-32 ล้านบาท หรือ ราคา 170,000 – 185,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 23 ยูนิต มูลค่าโครงการ 470 ล้านบาท เน้นลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์  โดยตามแผนจะเปิดพรีเซลประมาณกลางเดือนตุลาคม 2564 ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์ตลาดก่อน แต่ในช่วงนี้ก็เปิดให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการและจองได้ทันที คาดว่าจะสามารถเปิดการขายได้ภายในไตรมาส 1/2565  และสามารถโอนเข้าอยู่ได้ในไตรมาส 4/2565

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในระยะยาวสนใจที่จะพัฒนาโครงการทั้งในรูปแบบของอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย และอสังหาฯเพื่อเชิงพาณิชย์ แต่ในระยะสั้นนี้ คงเน้นการพัฒนาเพนท์เฮาส์คอนโดฯโลว์ไรส์ ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยเน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก  เพราะบริษัทมีจุดเด่นเรื่องการดีไซน์ ที่ออกแบบเองโดยผู้บริหารของบริษัท แต่เราไม่เน้นว่าจะพัฒนาปีละกี่โครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ โดยจณะนี้มีผู้นำมาเสนอหลายแปลง โดยเน้นที่ดินขนาดประมาณ 220-240 ตารางวา รวมถึงเปิดโอกาสในการหาผู้ร่วมทุนที่มีที่ดินและต้องการพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยต่อยอดให้แบรนด์ KALM PENTHOUSE เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตได้มากยิ่งขึ้น

“แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของโควิด -19 ตั้งแต่ระลอกแรก จากข้อมูลของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด พบว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 มูลค่ารวมของโครงการที่ยังมีขายในตลาดทั้งหมดในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท และโครงการระดับลักชัวรี่ มีมูลค่าทั้งสิ้น 228 พันล้านบาท คิดเป็น 16% จากมูลค่าของโครงการในตลาดทั้งหมดในกรุงเทพฯ ซึ่งที่อยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดฯ Luxury Segment ยังคงมีดีมานด์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าระดับบนที่เป็น Real Demand ยังคงมีทิศทางและแนวโน้มการขยายตัวได้อีกมาก สำหรับ CAST ESTATE DEVELOPMENT แม้เราจะเป็นผู้เล่นรายใหม่ในเซกเมนต์นี้ซึ่งมีความท้าทายและการแข่งขันที่ยากกว่าตลาดแนวราบก็ตาม แต่บริษัทฯยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ในราคาที่เหมาะสมได้ดี”  นายกฤช กล่าว

ด้าน นายชานนท์ เพชรแสงงาม กรรมการบริหาร บริษัท แคสท์ เอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  กล่าวว่า แนวคิดการออกแบบของโครงการ KALM PENTHOUSE ARI  นั้น พบว่า ทำเลอารีย์สัมพันธ์ เป็นย่านที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของกรุงเทพฯ ที่โดดเด่นด้วยงานสถาปัตยกรรมในยุค Mid-Century ที่อาคารจะมีลักษณะรูปทรงโค้ง เราจึงหยิบเอากลิ่นอายดังกล่าวมาลดทอนให้มีความเรียบง่ายในสไตล์ Minimal เพื่อเชื่อมโยงกับบริบทสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของพื้นที่ ตัวอาคารของโครงการจึงมีเอกลักษณ์และดูกลมกลืนไปกับบ้านเรือนที่พักอาศัยรอบข้าง ในด้านการจัดวาง Lay Out ของแต่ละยูนิต ได้นำแนวคิด Feel Like Home มาจัดสรรพื้นที่ของห้องเพนท์เฮาส์ขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกสบายเหมือนการพักอาศัยในบ้านที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศความผ่อนคลายและเป็นส่วนตัว เพื่อสร้างนิยามของคำว่าที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยการแยกฟังก์ชันการใช้งาน Public Space และ Private Space เพื่อให้ทุกกิจกรรมไม่รบกวนซึ่งกันและกัน

โดยพื้นที่ Public Space ของแต่ละยูนิตยังได้แยก Living area,  Dining area,  Study area , Pantry รวมถึง Multi-purpose room สำหรับพื้นที่ขนาด 3 ห้องนอน ไว้อย่างชัดเจน ส่วนพื้นที่ Private Space ยังได้จัดสรรพื้นที่เป็น Walk-in Closet ภายในห้อง Master Bedroom เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ Foyer ที่นอกจากช่วยกั้นพื้นที่ระหว่างประตูทางเข้ากับห้องนั่งเล่นอย่างเป็นสัดส่วนเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่เก็บของได้อย่างเพียงพออีกด้วย และเรายังได้นำแนวคิด Green Living ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศกับการออกแบบในสไตล์ Modern Tropical Architecture ซึ่งเหมาะกับสภาพภูมิอากาศของกรุงเทพฯ ด้วยความสูงของเพดานที่มีขนาดถึง 2.85 เมตร จึงใช้กระจกบานใหญ่เพื่อรับแสงธรรมชาติ ช่วยถ่ายเทอากาศได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยระเบียงส่วนตัวขนาดใหญ่

“เราได้พิถีพิถันเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเพื่อสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยและสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาทิ หน้าท็อปของชุดครัว เป็น Solid Surface ที่ช่วยป้องกันการดูดซึมของเหลว ทนต่อกรด-ด่างและความร้อน, อ่างอาบน้ำเป็นเกรดพรีเมียมนำเข้าจากประเทศเยอรมัน เป็นต้น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ที่จอดรถ 40 คัน(174%) ที่มีทั้งแบบจอดปกติและแบบ Auto Parking รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายชานนท์ กล่าวในที่สุด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*