วันที่ 14 กันยายน 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1 เห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (มาตรการฯ) และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) รับผิดชอบการดำเนินมาตรการฯ โดยพิจารณาจัดตั้งหน่วยบริการขึ้นเพื่อสนับสนุนและเชิญชวนให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นผู้พำนักระยะยาวในประเทศไทย หรือพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินงานส่วนใดส่วนหนึ่งภายใต้กำกับของ สกท. ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินเกินสมควร

2 มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1) ยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart Visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกินเก้าสิบวัน ตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และให้มีคุณสมบัติของผู้ขอวีซ่า สิทธิประโยชน์ และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่เสนอ และ (2) ให้ศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน

3 มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน (รง.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้ทำงานของคนต่างด้าว โดยให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักรได้โดยได้รับอนุญาตให้ทำงานโดยอัตโนมัติพร้อมกับการขอวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว

4 มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) พิจารณาให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตทำงาน เรื่อง การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คนต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน ตามคำสั่ง ตช. ที่ 327/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณากรณีคนต่างด้าวขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

5 มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กค.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีประเภทต่าง ๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร ดังนี้ (1) ปรับลดพิกัดอัตราอากรขาเข้าเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการนำสินค้าประเภทไวน์ สุรา และยาสูบประเภทซิการ์ลงกึ่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี (2) ปรับปรุงประกาศกรมศุลกากรที่เกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับต้นทางท่าอากาศยานให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน โดยให้ใช้หลักการพิจารณาจากปริมาณ จำนวน หรือสภาพของสิ่งของที่นำเข้าหรือส่งออกว่าเป็นไปเพื่อการใช้ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ แทนการพิจารณาจากมูลค่าของสิ่งของ และ (3) ดำเนินการจัดทำและเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรเพื่อกำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ถือวีซ่าผู้พำนักระยะยาวประเภทกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ โดยเทียบเคียงกับมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกันของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดึงดูดกลุ่มผู้พำนักระยะยาวเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงและมีรายได้จากการทำงานในประเทศไทยระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในราชอาณาจักร

6 มอบหมายให้ สกท. พิจารณาการบริหารจัดการวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวและวีซ่าประเภทอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน

7 มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบข้างต้นเร่งรัดดำเนินการภายใน 90 วัน และให้รายงานความคืบหน้าของผลการพิจารณาผ่าน สศช. เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง
สศช. รายงานว่า

1. การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) มีความรุนแรงและยืดเยื้อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้รัฐบาลใช้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเข้มงวดหลายครั้ง เพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดขยายตัวเป็นวงกว้างเกินเกินขีดจำกัดของระบบสาธารณสุขที่จะสามารถรองรับได้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และการลงทุนภายในประเทศลดลงอย่างมาก ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 คลี่คลายลง จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจ

2. สศช. จึงเสนอมาตรการที่จะดึงดูดชาวต่างชาติที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงหรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยในลักษณะผู้พำนักระยะยาว (long-term stay) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุนมากขึ้น และทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เพียงพอให้กับภาคธุรกิจที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ในประเด็นอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต และโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล

3. สาระสำคัญของมาตรการฯ สรุปได้ ดังนี้

3.1 มาตรการฯ ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก ได้แก่ การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa) และการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ดังนี้

1) การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa) เป็นการกำหนดวีซ่าประเภทใหม่เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง และต้องการเป็นผู้พำนักอาศัยในระยะยาว โดยมีการกำหนดคุณสมบัติเพื่อพิจารณาการขอวีซ่าตามกลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ดังนี้

2) การแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้ขอวีซ่าประเภทนี้และเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคของประเทศ

3.2 การจัดการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) การบริหารจัดการวีซ่าระหว่างประเภทผู้พำนักระยะยาวและประเภทอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และ (2) การจัดตั้งหน่วยบริการพิเศษเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนการดำเนินงานสำหรับผู้สมัครและผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (หน่วยบริการพิเศษฯ) โดยเสนอให้มอบหมาย สกท. พิจารณาจัดตั้งหน่วยบริการพิเศษดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินเกินสมควร

3.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่

1) สามารถดึงดูดชาวต่างชาติจำนวน 1,000,000 คน ใหย้ายถิ่นฐานมาพำนักอาศัยในประเทศ โดยคาดว่าข้อเสนอวีซ่าผู้พำนักระยะยาวและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะสามารถดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย และมีการสำรวจความคิดเห็นและประชุมเชิงปฏิบัติการกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งให้ความเห็นชอบว่าเป้าหมายโครงการมีความเป็นไปได้สูง

2) ตัวชี้วัดและประมาณการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

3.4 การดำเนินมาตรการฯ จะมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในภาพรวมทุก 5 ปี และกำหนดเวลาสิ้นสุดสำหรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการถือครองที่ดินเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มบังคับใช้มาตรการฯ และให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ โดยสามารถพิจารณาขยายระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปได้ตามความเหมาะสมแผนการดำเนินงาน

3.5 แผนการดำเนินงานของมาตรการฯ เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 โดยมีการดำเนินการภายหลังได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนี้

เป็นหนึ่งในรอบการลงทุน (ประกอบด้วย 4 รอบ) ของธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital) ที่จะลงทุนใน Startup โดยในรอบนี้ Startup จะมีความต้องการออกผลิตภัณฑ์ ขยายเข้าสู่ฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น หรือตลาดใหม่ รวมถึงปรับรูปแบบทางธุรกิจให้เหมาะสมกับตลาดที่กว้างขึ้น โดยธุรกิจร่วมทุนจะวิเคราะห์ถึงความสามารถในสร้างรายได้ในอนาคตของ Startup และจะต้องลงทุนอย่างน้อยประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 33 ล้านบาท ต่อหนึ่งโครงการในขั้นตอนนี้ (อ้างอิงบทความ “เปิดโลกการลงทุนใน Startup” โดยนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์)

อุตสาหกรรมเป้าหมายตามพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ท่องเที่ยวระดับคุณภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หุ่นยนต์ การบิน เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร การป้องกันประเทศ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัยและพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*