บริษัท
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย
เปิดเผยข้อมูลวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯช่วงครึ่งแรกของปี 2564ว่า ยังคงหดตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลัง 2563 เพราะได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้กำลังซื้อคอนโดฯของกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยยังคงลดลง ขณะที่กำลังซื้อจากชาวต่างชาติยังไม่กลับมา ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่จึงได้เลื่อนหรือชะลอการเปิดตัวคอนโดฯใหม่เป็นไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะเดียวกันได้หันไปเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น

ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อุปทานสะสมของคอนโดฯในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 652,081 ยูนิต ลดลง 38.7% เมื่อเทียบกับอุปทานใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ในจำนวนนี้เป็นคอนโดฯเปิดตัวใหม่จำนวน 6,293 ยูนิตจาก 20 โครงการ  ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดตัวอยู่ในเขตชานเมืองกรุงเทพฯมากถึง 66% ขณะที่พื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจมีอยู่ 29% และพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ 5% โดยทำยอดขายสินค้าใหม่ได้ 2,333 ยูนิต  เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ราคาเสนอขายคอนโดฯย่านศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 240,609 บาทต่อตร.ม. ลดลง 4.3% จากครึ่งปีหลัง 2563 ส่วนคอนโดฯย่านรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 116,225 บาทต่อตร.ม. ลดลง 5.9 % และคอนโดฯย่านชานเมืองอยู่ที่ 64,390 บาทต่อตร.ม. ลดลง 6.6%

บ้านระดับลักซูรี่10ล้านขึ้นไปความต้องการเพิ่ม
ส่วนตลาดบ้านระดับลักซูรี่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปยังคงมีความต้องการซื้อต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมา หลังจากแนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน (work from home) เพิ่มมากขึ้นเพราะได้รับแรงผลักดันจากความจำเป็นที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ทำให้ผู้ซื้อต้องการบ้านขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับทำงาน

จากข้อมูลการขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีทั้งสิ้น 578 ยูนิต ขณะที่โครงการบ้านจัดสรรพร้อมขายมีจำนวน 224 โครงการ มีจำนวนบ้านจัดสรรรวมกัน 20,018 ยูนิต ขายได้แล้วประมาณ 13,276 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 66%

ทั้งนี้หากจำแนกตามระดับราคา พบว่าบ้านที่มีความต้องการมากที่สุด คือ บ้านราคา 10-20 ล้านบาท โดยมียอดขายสะสม 7,218 ยูนิต คิดเป็นยอดขาย 61% ส่วนบ้านราคา 21-30 ล้านบาท มีความต้องการซื้ออยู่ที่ 2,612 ยูนิต และราคา 31-40 ล้านบาท 1,871 ยูนิต แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนหน่วยขายใหม่ที่ขายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่มีจำนวนหน่วยใหม่ที่ขายได้เฉลี่ยเพียง 2,500 ยูนิตต่อปีเท่านั้น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*