ผ่านไปแล้วสำหรับการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด 31 มี.ค.2564) ของบริษัทอสังหาฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้จะต้องรับศึกหนักกับการระบาดของโควิด-19 ระลอก3 ที่มีความรุนแรงมากที่สุดและมีจำนวนคนติดเชื้อมากที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิดข19 มาตั้งแต่ต้นปี 2563 แต่ดีเวลอปเปอร์ในระดับTop 10 ส่วนใหญ่ยยังคงทำตัวเลขรายได้รวมและกำไรอยู่ในแนวบวกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับแผนธุรกิจให้มีความบาลานซ์ทั้งบ้านแนวราบและอาคารชุด ซึ่งเดิมหลายบริษัทถือพอร์ตลงทุนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมทั้งโลว์ไรส์และไฮไรส์ แต่ช่วงหลังหันมาเพิ่มพอร์ตบ้านแนวราบกันมากขึ้น

 จากการเก็บรวมรวมข้อมูลผลประกอบการไตรมาส1 ปี 2564 ของบริษัทแอล.พี.เอ็น. วิสดอม จำกัด ระบุว่า กลุ่มบริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 35 ราย มีรายได้รวมกันสูงถึง 68,534.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.90% จากไตรมาสเดียวกันปี 2564 และมีกำไรสุทธิมากถึง 8.376.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.01% โดยรายได้หลักมาการขายและโอนกลุ่มสินค้าบ้านแนวราบมากที่สุด

โดยเฉพาะ 2 บริษัทอสังหาฯระดับTop3ของเมืองไทย เอพี (ไทยแลนด์) และแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ของพี่น้อง”ตระกูลอัศวโภคิน” ที่ครองแชมป์ทั้งรายได้รวมสูงสุดและกำไรสุทธิมากที่สุด

 ”ตระกูลอัศวโภคิน”ครองแชมป์รายได้-กำไรไตรมาส1สูงสุด
เอพีฯรายได้พุ่ง 70%-แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์กำไรทะลัก 1,744 ล้าน
สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่สร้างผลงานโดดเด่นมากที่สุดทั้งรายได้และกำไรในไตรมาสแรกที่ผ่านมา คือ เอพี (ไทยแลนด์) ของ”อนุพงษ์ อัศวโภคิน” ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมขององค์กรควบคู่ไปกับการบริหารจัดการภายใน เพื่อตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปี 2563 เอพีฯได้สร้างรายได้สูงที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจอสังหาฯมา โดยมีรายได้รวมสูงถึง 46,130 ล้านบาท โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จากสินค้าแนวราบที่มากถึง 24,035 ล้านบาท

ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ตัวเลขรายได้รวมอยู่ที่  5,399 ล้านบาท  และกําไรสุทธิ 1,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 127.1% จาก 618 ล้านบาท

โดยรายได้หลักจากการขายอสังหาฯจำนวน 8,879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากปีก่อน  โดยเฉพาะรายได้จากบ้านแนวราบที่พุ่งสูงถึง 8,040 ล้านบาท ปัจจบันเอพีฯมีบ้านแนวราบทั้งหมด 100 โครงการที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงโครงการในต่างจังหวัด

ส่วนบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ของ”อนันต์ อัศวโภคิน”ได้แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,744.41 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาฯระดับ Top10ในตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 400.42 ล้านบาท คิดเป็น 29.79% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ  1,343.99 ล้านบาท

ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 8,044.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.27%จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 7,140.20 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขายอสังหาฯ 5,048.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,091.91 ล้านบาท  ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากกสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว 82%  ที่เหลืออีก 18% มาจากกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม

พฤกษาฯรายได้โอนคอนโดฯลด 25%
บริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมามีรายได้รวม 6,897.20 ล้านบาท ลดลง 3.90% เมื่อเทียบช่วงไตรมาสเดียวกันปี 2563 ที่มีรายได้รวม 7,175.69 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากคอนโดฯลดลงถึง 608 ล้านบาท หรือประมาณ 25%

โดยรายได้หลักยังคงมาจากการขายอสังหาริทรัพย์จำนวน 6,940 ล้านบาท และกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์ยังคงทำรายได้มากที่สุด 3,783 ล้านบาท รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 1,779 ล้านบาท และคอนโดฯ 1,379 ล้านบาท

ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา กลุ่มพฤกษาฯได้เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม 5 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,915 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ

SIRI กำไรก้าวกระโดด 521%
ส่วนกลุ่มแสนสิริ จำกัด (มหาชน)ที่เพิ่งประกาศแผนร่วมทุนไปกับกลุ่ม Xspring ที่ทำธุรกิจด้านการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แจ้งผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 384 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 521%เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 62 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1ปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้รวมอยู่่ที่ 6,826.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.59% จาก 6,526.89 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาฯจำนวน 12% หรือเท่ากับ 6,044 ล้านบาท

แบ่งเป็นรายได้จากการขายบ้านเดี่ยว 3,272 ล้านบาท โดยเฉพาะจาก 4โครงการคือ โครงการเศรษฐสิริ จรัญ-ปิ่นเกล้า2  บ้านแสนสิริ พัฒนาการ เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล และโครงการสราญสิริ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ ที่มรายได้รวมกัน  914 ล้านบาท ส่วนรายได้ที่เหลือมาจากคอนโดฯ 1,659 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 2,210 ล้านบาท และอีก 1,114 ล้านบาทมาจากทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักส์  ซึ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากปี 2563 ที่มีรายได้ 166 ล้านบาทเพิ่มเป็น 621 ล้านบาทในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

 เฟรเซอร์สฯรายได้ลด 500 ล้าน
กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประการไตรมาสแรก สิ้นสุด ณ วันที่  31ธันวาคม 2563 มีรายได้รวม 4,150.8 ล้านบาท ลดลง 10.84% หรือ 504.6 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.84% จำนวน 138.1 ล้านบาท โดยสาเหตุที่รายได้รวมลดงลง เนื่องจากรายได้จากกการขายอสังหาฯปรับตัวลดลงถึง 536 ล้านบาท เพราะลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านและอำนาจในการซื้อของลูกค้าลดลงจากสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจโรงแรมก็ปรับลดลงถึง 74.90% หรือเท่ากับ 107.8 ล้านบาท เพราะอัตราการเข้าพักลดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวม 3,955.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของ 663.70 ล้านบาท หรือเท่ากับ 20.16% โดยรายได้มาจากการขายอสังหาฯจำนวน 3,738.84 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 3,237.03 ล้านบาท และแนวสูง 501.81 ล้านบาท

ออริจิ้นฯกำไรพุ่งเกือบ30%
ด้านกลุ่มออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด(มหาชน) ได้แจกแจงผลการดำเนินงานในไตรมาส1 ที่ผ่านมา รายได้รวมอยู่ที่ 3,869.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,408.3 ล้านบาท รายได้หลัก 89.1%มาจากการขายอสังหาฯ จำนวน 3,446.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจํานวน 1,493.6 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 868.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.43% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 675.9 ล้านบาท

โดยในไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจัดสรรและคอนโดฯจํานวน 7 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดฯ 2โครงการ คือ โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม9 และดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น โครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการ คือ โครงการเบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พลูวิลล่า บางนา พระราม 9, โครงการแกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์ พระราม 5, โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12, โครงการไบรตัน บางนา กม.26 และโครงการไบรตัน อมตะ ศุขประยูร

บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แจ้งตัวเลขกําไรสุทธิเท่ากับ  741.08 ล้านบาท ลดลง 8.88 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนหรือลดลง 1% ส่วนรายได้รวมไตรมาสแรกลดเล็กน้อยแค่ 2% ทำได้ 3,764.54 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนทำได้ 3,831.61 ล้านบาท โดยรายได้หลัก 3,602 ล้านบาทจากการโอนอสังหาฯ ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปี ก่อนเพียงเล็กน้อยประมาณ 18.10 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 71% และที่เหลือ 29 % เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด

ขณะที่กลุ่มโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรก มีรายได้ 2,682.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและบ้านแนวราบที่ก่อสร้างแล้วเสร็จมากขึ้น และมีการรับรู้รายได้อื่นที่เพิ่มมากขึ้นจากการยกเลิกสัญญา

ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 484 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะเดียวกันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายโครงการมูลค่า 2,567.9 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการที่สร้างแล้วเสร็จ 5โครงการ ซึ่งได้มีการทำแคมเปญ Last Piece, Last Price เมื่อช่วงวันที่ 25 มกราคมถึง 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  รวมทั้งยอดขายจากโครงการโนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี และโครงการเปิดตัวใหม่อีก 2 โครงการ

กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งงบกำไรขาดทุนในไตรมาส1ที่ผ่านมา บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 325 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนเพิ่มขึ้น 273.3 ล้านบาท โดยในส่วนของรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 2,290.6 ล้านบาท ลดลง 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2563 ที่มีรายรายได้ 2,637.4 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*