ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในปี 2564 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องมาจากปี 2563 ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่และกำลังซื้อที่ชะลอตัว เพราะมีความเสี่ยงมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้กลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติใช้เวลาตัดสินใจซื้อนานขึ้น ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ค่ายใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการระบายสต็อกสินค้าที่สร้างเสร็จแล้วแต่ยังเหลือขายอยู่ในมือ พร้อมกับมองหาโอกาสใหม่ในทำเลใหม่ๆ เพื่อวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่

ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ จึงเป็นตลาดหลักสำหรับการลงทุนโครงการใหม่ในปีนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุน ขณะที่ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่ แต่ผู้ซื้อมีงบประมาณที่น้อยลง ด้านผู้ประกอบการก็เริ่มหันไปพัฒนาโครงการที่มีขนาดไซส์เล็กลง เพื่อลดขนาดการลงทุน และทำให้ผ่านเกณฑ์การอนุมัติเงินทุนจากธนาคารได้ง่ายขึ้น รวมถึงหันไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโครงการบ้านแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) กล่าวว่า การปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมา ด้วยการลดจำนวนการเปิดขายโครงการใหม่เพื่อให้ที่อยู่อาศัยรอการขายถูกดูดซับออกไปจากระบบ ทำให้ในปีนี้จะมีสินค้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นเพื่อทดแทนสินค้าที่ถูกดูดซับไป โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 82,594 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 32.7%

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการจะหันไปลงทุนโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าอาคารชุด โดยประเมินว่าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 22.5% หรือมีจำนวน 43,732 ยูนิตจากจำนวนโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวประมาณ 82,594 ยูนิต ส่วนโครงการอาคารชุดเปิดตัวใหม่จะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 46.5% ซึ่งสัดส่วนอาจจะดูเพิ่มขึ้นมากแต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากจากปี2563 หรือประมาณ 38,862 ยูนิต

เอพีฯเปิดตัวใหม่มากสุด 30 โครงการ VS เฟรเซอร์ลงทุนสูงสุดกว่า 2.9 หมื่นล้าน

ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลแผนการเปิดตัวโครงใหม่ปี 2564 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 10 ราย ซึ่งปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนรวมกันถึง 210 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 376,860 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านแนวราบมากที่สุดจำนวน 170 โครงการ มูลค่าโครงการ 186,250 ล้านบาท

โดยกลุ่มเอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด 34 โครงการ มูลค่าโครงการ 43,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านแนวราบมากถึง 30 โครงการ มูลค่า 28,800 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 14 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 16500 ล้านบาท และบ้านแบรนด์ใหม่ “อภิทาวน์” ที่เปิดตัวในต่างจังหวัด 2 โครงการที่เชียงรายและอยุธยา มูลค่า 2,300 ล้านบาท

ขณะที่กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม หรือชื่อเดิม โกลเด้นแลนด์ ซึ่งเน้นลงทุนบ้านแนวราบเป็นหลัก ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 24 โครงการ แต่มีมูลค่าโครงการมากที่สุด 29,800 ล้านบาท สินค้าหลักยังคงเป็นทาวน์เฮ้าส์ 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 7โครงการมูลค่า 11,000 ล้านบาท บ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง ที่เคยครองแชมป์เปิดตัวโครงการมากที่สุดและมีมูลค่าโครงการมากที่สุดในตลาดอสังหาฯต่อเนื่องมาหลายปีนั้น ปีนี้วางแพลนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 29 โครงการ มูลค่า 26,630 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านแนวราบทั้งหมด 25 โครงการ มูลค่า 22,240 ล้านบาท โดยสินค้าหลักยังเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 17 โครงการ มูลค่า 14,680 ล้านบาท โดยเฉพาะแบรนด์บ้านพฤกษา ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าดั้งเดิมของพฤกษาฯ ปีนี้จะเปิดตัว 8 โครงการ

ขณะที่กลุ่มศุภาลัย ซึ่งปีนี้วางแพลนเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มเอพี ไทยแลนด์ โดยเปิดตัวทั้งหมด 34 โครงการ มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท สินค้าหลักยังคงเป็นบ้านแนวราบจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 28,000 ล้านบาท

กลุ่มแสนสิริ เจ้าของแบรนด์บ้านสราญสิริและเศรษฐสิริ ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 24 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท สินค้าหลัก เป็นบ้านแนวราบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว7 โครงการ มูลค่า 12,300 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 9 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ส่วนราคาสินค้าที่กลุ่มแสนสิริจะเปิดตัวในปีนี้จะเป็นระดับราคา Affordable ในสัดส่วน 75% และกลุ่มราคาMidium 35%

กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ซึ่งได้ปรับแผนหันมาบุกตลาดแนวราบต่อเนื่องเป็นปีที่3แล้ว ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 14 โครงการ มูลค่า 20,600 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 12 โครงการ มูลค่า 19,680 ล้านบาท อีก 2โครงการเป็นคอนโดฯ

กลุ่มออริจิ้นฯ ที่เติบโตและสร้างชื่อเสียงมาจากการลงทุนโครงการอาคารชุดทั้งโลว์ไรส์และไฮไรส์ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกและฝั่งทิศเหนือของกรุงเทพฯ ปีนี้กลุ่มออริจิ้นฯได้ปรับแผนธุรกิจหันมารุกตลาดบ้านแนวราบมากขึ้นถึง 52% โดยในจำนวนโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ 20 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท เป็นบ้านแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท สินค้าหลักจะเป็นบ้านแบรนด์บริทาเนียและแกรนด์ บิทาเนีย ระดับราคาตั้งแต่ 4-20 ล้านบาท

ด้านกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่เน้นเจาะตลาดบ้านแนวราบและโครงการขนาดใหญ่ เพราะมีแลนด์แบงก์เก่าในมือค่อนข้างเยอะ ปีนี้วางเป้าเปิดตัวบ้านแนวราบทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่า 9,930 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเป้าหมายเดิมที่วางแผนจะเปิดตัว 11 โครงการ มูลค่า 18,495 ล้านบาท

และกลุ่มเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 17 โครงการ มูลค่า15,700 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท โดยมีสินค้าใหม่เป็นทาวน์เฮ้าส์ราคาสตาร์ท1 ล้านกว่าบาท 2 โครงการ ใช้ชื่อแบรนด์ใหม่ว่า เสนา อีโค่ ทาวน์

กลุ่มเอสซี แอสเสท ซึ่งครองเบอร์1บ้านเดี่ยวระดับหรูราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ปีนี้ประกาศเปิดบ้านแนวราบ 8โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท จากแผนเปิดตัวโครงการทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท สินค้าหลักยังคงเป็นบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท และราคา 10-20 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะต้องติดตามและเฝ้าระวัง การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ล่าช้าและความไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีน ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย แถมหนี้สินครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายฝ่ายประเมินกันว่าปีนี้หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงต่อเนื่อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*