“ออริจิ้น” กวาดยอดขายไตรมาส 1/64 ฉลองก้าวแรกปีฉลู 7,500 ล้านบาท หรือ 26% ของเป้ายอดขายทั้งปี หลังกลุ่มโครงการ Ready to move ใกล้รถไฟฟ้าแกร่ง แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” และ “ดิ ออริจิ้น” ขึ้นแท่นไฟท์ติ้งแบรนด์ สร้างยอดขายต่อเนื่อง คาดสถานการณ์อสังหาฯปี64 ดีขึ้นเป็นลำดับ หลังรัฐทยอยฉีดวัคซีนและต่ออายุลดค่าธรรมเนียมการโอน-ค่าจดจำนอง โครงการในเครือจ่อรับอานิสงส์มาตรการรัฐกว่า 11,000 ล้าน เล็งส่งแบรนด์ “แฮมป์ตัน” และอีก 3 แบรนด์คอนโดฯใหม่เจาะตลาดเซกเมนต์ใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจหนุนยอดขายทั้งปี All Time High ทะลุ 29,000 ล้านบาทตามเป้า 
นายพีระพงศ์ จรูญเอก
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/2564 (ม.ค.-มี.ค.2564) ได้ที่ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 26% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมประมาณ 73% และยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร ประมาณ 27% ซึ่งถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ในสภาวะที่ตลาดช่วงต้นไตรมาสได้รับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ระลอกใหม่ช่วงปลาย ธ.ค.ปีที่ผ่านมา

จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 69% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ราว 31% โดยไฟท์ติ้งแบรนด์ที่ช่วยให้ยอดขายในไตรมาส 1/2564 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม คือแบรนด์ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) ที่เจาะตลาดระดับไฮเอนด์ และแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) ที่เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยทั้ง 2 แบรนด์มีจุดแข็งคือการกระจายตัวอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหลากหลายทำเล มีฟังก์ชั่นภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์การ Work From Home และการใช้ชีวิตแบบ Next Normal ในอนาคต มีระดับราคาที่ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ในสภาวะปัจจุบัน

“เราศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Insight มาตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19 ทำให้ทำเล ฟังก์ชั่น และบริการต่างๆ ที่เราเตรียมไว้ให้สำหรับผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่างๆ ของเรา เป็น Smart Products และ Excellent Services ที่สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกจังหวะเวลา แม้บริบทการใช้ชีวิตของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะแบรนด์ไนท์บริดจ์ และดิ ออริจิ้น ที่นอกจากได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคแล้ว ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรในการพิจารณาเข้ามาร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง” นายพีระพงศ์ กล่าว

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังจากนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค อาทิ โอกาสการกลับมาเปิดประเทศจากเรื่องวัคซีนวีซ่า การทยอยฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่างๆ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง โดยบริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ และโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม ประมาณ 8,500 ล้านบาท และกลุ่มบ้านจัดสรรแบรนด์ไบรตัน (Brighton) อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ในกลุ่มโครงการเปิดตัวใหม่นั้น จะเปิดตัวเพิ่มเติมในไตรมาส 2/2564 อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง “แฮมป์ตัน” (Hampton) แบรนด์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) โครงการแรกของบริษัท ที่ร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี นำร่องในทำเลศรีราชาภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา

“ปัจจัยบวกเชิงมหภาคก็ดี ปัจจัยบวกจากการปรับตัวขององค์กรก็ดี ที่ผ่านมา ออริจิ้นมี Key Success คือ เราปรับตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีความต้องการและมีโอกาสเติบโตอยู่เสมอ กลางปี 2562 เราเปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะตลาดกลุ่ม Gen Z ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการรายไหนเข้าไปลุย ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วหลายโครงการ ปลายปี 2563 เราเปิดตัวแบรนด์โซโห แบงค็อก โครงการแรก ขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดไฮเอนด์ ปัจจุบันก็มียอดขายสะสมแล้วกว่า 75% ปีนี้ตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL เรามีแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ที่จะใช้บุกตลาดศักยภาพใหม่ๆ เพิ่มเติมถึง 4 แบรนด์ เมื่อประกอบกับยอดขายจาก New S Curve ของเครืออย่างธุรกิจบ้านจัดสรร สถานการณ์เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เราเชื่อมั่นว่าปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายเป็น All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 83 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 129,000 ล้านบาท

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*