พรีบิลท์ฯเปิดแผนปี64 รุกพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบเอง 3 โครงการใหม่ 1 เฟสต่อเนื่อง และร่วมทุนกับพันธมิตร 2 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ระบุระยะเวลา 5 ปี เน้นงานรับเหมาก่อสร้าง-พัฒนาที่อยู่อาศัย สัดส่วน 80:20  ล่าสุดมี Backlog มูลค่ารวมประมาณ 8,400 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้ในปีนี้ ตั้งเป้ารายได้รวมแตะกว่า 5,700 ล้านบาท
นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน) PREB เปิดเผยถึง ภาพรวมการแข่งขันในตลาดบ้านแนวราบว่า ตลาดบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ราคา 15-20 ล้านบาท มีการเติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่นและยังเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของการเงิน ทั้งเรื่องเงินออมที่มีและเครดิตของตัวผู้กู้ที่มีเครดิตที่ดีในเรื่องการขอสินเชื่อ  พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จึงมองว่าตลาดเซกเมนต์นี้ ยังสามารถเติบโตได้และมั่นใจว่าด้วยรูปแบบโครงการ แบบบ้านที่มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ ตลอดจนราคาที่สมเหตุสมผล จะทำให้ยอดขายของบริษัทฯเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าไว้

“ในช่วงนี้เราคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งในรูปแบบการพัฒนาเอง และร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตร แต่ถ้าหากสภาวะตลาดฟื้นตัวก็จะหันไปพัฒนาโครงการแนวสูงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย”นายวิโรจน์ กล่าว

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงระยะเวลา 5 ปีนี้ จะยังคงเน้นงานรับเหมาก่อสร้างในสัดส่วน 80% และพัฒนาโครงการ สัดส่วน 20% ส่วนหลังจากนั้นจะพยายามเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการอสังหาฯมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 จะเปิดตัวใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ และเฟสต่อเนื่อง 1 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาในนามบริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในเครือพรีบิลท์ฯ   ได้แก่

-โครงการ “พรรณนา พุทธมณฑลสาย 3” เฟส 2 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 100-120 ตารางวา ราคา 14-18 ล้านบาท จำนวน 50 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยเฟสดังกล่าวเป็นการปรับราคาขายขึ้นมาจากเฟส1 ประมาณ 5-10% โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 นี้

-โครงการ “พิมนารา ศรีนครินทร์” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 29 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 50-60 ตารางวา ราคา 5.5-7 ล้านบาท จำนวน 99 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 นี้

ส่วนอีก 2 โครงการจะตั้งอยู่ย่านปทุมธานี บนที่ดิน 50 ไร่ พัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ โดยโครงการแรกพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป และโครงการที่ 2 พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ระดับราคา 4.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะพัฒนาบนที่ดินแปลงละ 20 ไร่ ส่วนพื้นที่อีก 10 ไร่จะพัฒนาเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ด้านรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง 2564

นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่กับพันธมิตรอีกอย่างน้อย 2 โครงการ คือ

1.โครงการร่วมทุนกับบริษัท รีโว เอสเตท จำกัด ในย่านจตุโชติ จำนวน 1 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “เอเจนท์” พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 300-400 ล้านบาท

2.โครงการร่วมทุนกับกลุ่มพรีเมี่ยมเพลส ย่านทาวน์อินทาวน์ จำนวน 1 โครงการ  พัฒนาโครงการคอนโดฯโลว์ไรส์ บนพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ สูงประมาณ 8 ชั้น  จำนวน 2 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท

เรามีแผนเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยใหม่ๆ ปีละประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าการเปิดตัวโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้รวม ซึ่งในปี 2565 รายได้ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจะเติบโตแตะระดับ 1,000 ล้านบาท จะการทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ตั้งแต่ปีนี้” นายวิโรจน์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “พรรณนา พุทธมณฑล สาย 3”เฟส1 จำนวน  98 ยูนิต ระดับราคา 15-20 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 1,250 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีลูกค้าโอนบ้านและย้ายเข้ามาอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง

โดยสาเหตุที่ทำให้ “พรรณนา” ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย มาจากประสบการณ์ของบริษัทแม่ คือ พรีบิลท์ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจก่อสร้างระดับไฮเอนด์มายาวนานและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนและเลือกสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่สุดให้กับลูกค้า   ในราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า จึงทำให้ลูกค้าที่ได้เข้ามาชมโครงการส่วนใหญ่ตัดสินใจจองซื้อ

“การที่บริษัทเจาะจงเลือกทำเลย่านถนนพุทธมณฑลสาย 3 เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งราคาที่ดินในย่านนี้มีการขยับตัวสูงขึ้นราว 8-10% ต่อเนื่องทุกปี แม้ไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มระบาดมาตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจมากมาย รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่โครงการบ้านเดี่ยว ‘พรรณนา’ ที่บริษัทเริ่มก่อสร้างและเปิดขายอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดกลับไม่ได้รับผลกระทบ แต่กลับได้รับการตอบรับอย่างน่าพอใจ จากลูกค้าที่เข้ามาชมบ้านตัวอย่าง โดยมีการตัดสินใจจองซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ยอดขายทะลุได้เกินเป้าหมายมากกว่า 90% ในเฟสแรก ปัจจุบันบริษัทปรับแผนการก่อสร้างให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าที่สนใจสามารถทดลองเข้ามาอยู่จริงได้ 1 วัน และหากใครแนะนำลูกค้าให้มาซื้อบ้านในโครงการ ก็จะได้รับค่าแนะนำจำนวน 100,000 บาท/หลัง  ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้าจะประทับใจและทำให้มีการตัดสินใจในการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น”นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 ว่า ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมาจากการทยอยส่งมอบโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเป็นตัวผลักดันหลัก  โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ทั้งงานรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย มูลค่ารวมประมาณ 8,400 ล้านบาท แบ่งเป็น Backlog กลุ่มงานอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ประมาณ 400 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด และเป็น Backlog กลุ่มงานรับเหมาก่อสร้างประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบงานในปี 2564 ประมาณ 25% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีงานรอเซ็นสัญญามูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดจะสามารถเซ็นสัญญาได้ภายในไตรมาส 2/2564 นี้ และยังอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานงานใหม่เพิ่มจากผู้ประกอบการ 4-5 ราย มูลค่ารวมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท คาดจะได้รับงานเพิ่มประมาณ 2,000 ล้านบาท

โดยบริษัทประเมินรายได้รวมปี 2564 ไว้ที่ประมาณ 5,672-5,772 ล้านบาท จะมาจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย

1.กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง คาดปีนี้จะมีรายได้ที่ 4,500 ล้านบาท เติบโต 2% จากปีก่อน,

2.กลุ่มธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง คาดปีนี้จะมีรายได้ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อน

3.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย คาดปีนี้จะมีรายได้ที่ 772 ล้านบาท เติบโต 500% จากปีก่อน

ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 3.85% จากการทยอยรับรู้รายได้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตรากำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ระดับ 5-6% ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 80% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจะอยู่ที่ระดับ 12% ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 20%

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*