ไร้ท์ทันเน็ลลิ่งฯเดินหน้าประมูลงานภาครัฐพร้อมปรับสัดส่วนเพิ่มเป็น 95% และรุกรับงานประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุดเซ็นสัญญารับงานใหม่อีก 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 688 ล้านบาท คาดดันBacklog ปี64 เพิ่มเป็น 7,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้รวมทั้งปีแตะ 3,599 ล้านบาทตามเป้า เติบโต 27.48%
นายชวลิต ถนอมถิ่น
นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิค เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปี 2564 ว่า มีโอกาสเติบโตสูง ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจงานโครงสร้างพื้นฐานในหลายโครงการ อาทิ ระบบขนส่งทางราง งานถนน  ระบบบริหารจัดการน้ำในประเทศ ซึ่งงานก่อสร้างเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีมูลค่างานสูงและเป็นงานที่มีการก่อสร้างต่อเนื่อง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถจากบริษัทที่มีประสบการณ์และความชำนาญพิเศษ ซึ่งมีผู้รับเหมาจำนวนน้อยรายที่ดำเนินธุรกิจได้แบบ RT เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะและมีความเสี่ยง ขณะที่งานภาครัฐที่เกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน บริษัทคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนต่อปีไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นงานที่บริษัทมั่นใจที่จะเข้าให้บริการได้

โดยที่ผ่านมางานของบริษัทฯจะเป็นการประมูลจากโครงการของภาครัฐ สัดส่วนประมาณ 95% และภาคเอกชน 5% และในปี 2564 นี้มีแผนจะปรับสัดส่วนรับงานของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น นอกจานี้ในปีนี้ยังมีแผนจะเข้าประมูลงานโครงการที่เป็น การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) ได้แก่ งานอุโมงค์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แต่ทั้งนี้ต้องรอความชัดเจนก่อน จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ที่ผ่านมาบริษัทฯมีโอกาสในการรับงานทั้ง 3 ประเภท คือ งานอุโมงค์-ถนน ซึ่งในอนาคตจะปรับเพิ่มสัดส่วนงานในส่วนดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ,งานโครงสร้างพื้นฐาน และงานพลังงาน โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ จากงานสร้างอุโมงค์ 60% งานสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 9% งานสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ 1% งานท่อร้อยสายไฟใต้ดิน 12% และงานอื่น ๆ 18% และแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศ 95.5% และต่างประเทศ 4.5%”นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯมีแผนที่จะรุกการรับงานในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน ได้แก่ เมียนมา,สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศจะทำให้ได้บวกค่าประมูลงาน (OVERSEAS COURSE)เพิ่มขึ้น 10-15%  ปัจจุบันงานต่างประเทศ จะมีงานโครงการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำ เขื่อนเดือนตรี ประเทศกัมพูชา (Diversion Tunnel, Duantri Dam, Cambodia ) มูลค่า 196 ล้านบาท มีความคืบหน้าก่อสร้างแล้ว 32% คาดว่าจะส่งมอบงานได้เดือน ตุลาคม ปี 2564 เพื่อรับรู้รายได้ส่วนที่เหลือ 128 ล้านบาท

สำหรับงานในประเทศนั้น ล่าสุดในไตรมาส 1/2564 บริษัทมีโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วและรอเซ็นสัญญา  รวม 13 โครงการ  มูลค่ารวมกว่า 688 ล้านบาท ได้แก่ งานระบบระบายน้ำ กรมชลประทาน 1 โครงการ มูลค่า 280.4 ล้านบาท ,งานท่อร้อยสายไฟใต้ดิน 2 โครงการ มูลค่ารวม 146.3 ล้านบาท ,งานป้องกันลาดชัน กรมทางหลวง 7 โครงการ มูลค่ารวม 135.3 ล้านบาท ,งานก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ กรมชลประทาน 1 โครงการ มูลค่า 84.5 ล้านบาท ,งานป้องกันลาดชันไหล่เขา กรมชลประทาน 1 โครงการ มูลค่า 26.5 ล้านบาท และ งานก่อสร้างทาง-บำรุงถนน กรมทางหลวงชนบท 1 โครงการ มูลค่า 14.6 ล้านบาท ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,240 ล้านบาท โดยสามารถรับรู้รายได้ในช่วงปี 2564-2565

ส่วนงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่บริษัทมีความสนใจเข้าไปประมูลงาน ได้แก่

-ปี 2564 โครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่,งานซ่อนบำรุงทางรถไฟ) ในโครงการเด่นชัย-เชียงราย มูลค่า 72,920 ล้านบาท

-ปี 2564-2568 งานนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน โครงการนำสายไฟฟ้าลงดินใน กทม. มูลค่า 10,000 ล้านบาทต่อปี

-ปี 2565-2568 งานก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน/งานอุโมงค์ถนน โครงการกระทู้ป่าตอง มูลค่า 14,170 ล้านบาท

-ปี 2566-2571 งานระบบชลประทาน/งานบริหารจัดการน้ำ โครงการผันน้ำขุนยวม มูลค่า 65,000 ล้านบาท

“จากแผนธุรกิจในปี 2564 ที่เรามุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุกรับงานในประเทศที่มีกำไร(มาร์จิ้น)สูง และงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ  คาดว่าจะส่งเสริมให้บริษัทฯมี Backlog เพิ่มเป็น 7,000 ล้านบาทตามเป้าหมายทั้งปีนี้ จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 4,240 ล้านบาท” นายชวลิต กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 2,864 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,305 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 589 ล้านบาท กำไรสุทธิ 238 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 2,823 ล้านบาท ซึ่งโดยมาจากงานก่อสร้งเขื่อนและระบบชลประทาน 9% งานก่อสร้างอุโมงค์ 59.09% กลุ่มงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 72.46% กลุ่มงานภาคเอกชน 27.54% งานก่อสร้างท่อลอดใต้ดิน 12% งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 1% ส่วนรายได้จากการขายวัสดุก่อสร้างอยูที่ 21 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 20 ล้านบาท โดยในปีนี้ วางเป้าประมาณการรายได้ทั้งสิ้น 3,599 ล้านบาท เติบโต 27.48% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 15-20% และในระยะ 5 ปีข้างหน้า ด้วยงานโครงการภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานภาคเอกชนที่เริ่มกลับมา จะส่งผลให้บริษัทมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*