รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าสินค้าวัสดุก่อสร้างจะเติบโตได้ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งในปี 2563 มูลค่าตลาดวัสดุก่อสร้างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ประมาณ -3.5% โดยเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ยอดขายวัสดุก่อสร้างภายในประเทศลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการลงทุนในโครงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆที่ ลดลง สะท้อนจากพื้นที่ได้รับอนุญาตการก่อสร้างทั่วประเทศที่ลดลง -6.7% นอกจากนี้ในช่วงล็อกดาวน์ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากการปิดบริการตามคำสั่งของรัฐบาลและถึงแม้สามารถเปิดบริการได้ ลูกค้าก็ไม่สามารถมาเลือกซื้อสินค้าหน้าร้านได้โดยสะดวก โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่น่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือกลุ่มค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายของผู้ผลิตสินค้า ที่เน้นขายสินค้ากลุ่มโครงสร้าง เช่น เหล็ก ซีเมนต์ อิฐ และผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ เช่น ผนัง เสา เสาเข็ม และแผ่นพื้นสำเร็จรูป เนื่องจากเป็นสินค้าหลักในการก่อสร้าง

ยอดขายปี64 ยังเติบโตจำกัดในกรอบ 0.2%-1.9% จากงานภาครัฐ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปี 2564 ยอดขายร้านค้าวัสดุก่อสร้างอาจฟื้นตัวเล็กน้อยจากปีก่อนประมาณ 0.2% – 1.9% หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 8.03 – 8.17 แสนล้านบาท โดยมีแรงหนุนจากความต่อเนื่องของการลงทุนก่อสร้างของภาครัฐที่อาจเติบโต 3.3% – 4.7% ซึ่งชดเชยการชะลอการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวประมาณ -6% ถึง -3.8% ทำให้ มูลค่าการลงทุนการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 13.3 – 13.4 แสนล้านบาท ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม ประเภทร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่ากลุ่มอื่น คือ กลุ่มค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายของผู้ผลิต ที่มีฐานลูกค้าเป้าหมายสอดคล้องไปกับงานภาครัฐและภาคเอกชนรายใหญ่ รวมทั้งกลุ่มร้านค้าวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่พยายามหาโอกาสสร้างยอดขายผ่านช่องทางที่หลากหลายและผสมผสานระหว่างหน้าร้านสาขาและช่องทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับสินค้าตกแต่งบ้านอื่นๆ เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคคนเมืองยุคใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการดึงฐานลูกค้ามาจากร้านค้าปลีกรายย่อยดั้งเดิม ท่ามกลางกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมที่ยังเปราะบาง

ท่ามกลางการชะลอการลงทุนก่อสร้างของภาคเอกชน โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2564 ก็ยังจะมีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่ามีการลงทุน ได้แก่ ที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ที่เป็นที่ต้องการของการอยู่อาศัยจริงและมาจากความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น สินค้าที่น่าจะได้รับผลเชิงบวก ได้แก่ กลุ่มสินค้าโครงสร้าง ปูนซีเมนต์ เหล็ก โครงสร้างคอนกรีตสำเร็จรูป (Pre-cast) และสินค้าตกแต่ง เช่น กระเบื้อง สุขภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

แรงกดดันด้านศก.-การแข่งขัน ดันกลุ่มค้าปลีก-รายย่อยเร่งปรับตัว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในปี 2564 ร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่มีฐานลูกค้าหลากหลายและสามารถเติมเต็มการให้บริการได้อย่างครบวงจร จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้ ซึ่งกลุ่มร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ (Modern Trade) และกลุ่มผู้ประกอบการค้าส่งที่ได้รับอานิสงส์จากงานภาครัฐ มีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่ากลุ่มอื่น แต่เนื่องจากเป็นการฟื้นตัวที่มาจากฐานที่ต่ำและยังมีความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้ต้องมีการปรับตัว โดยร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ได้มีการเริ่มปรับตัวขายสินค้าด้วยช่องทางออนไลน์และมีบริการเสริมมากขึ้น เช่น การซ่อมแซม ตกแต่งและรับออกแบบภายในบ้าน โดยในบางรายได้มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Augmented reality (AR) และ Building information technology (BIM) ที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้เห็นภาพจำลองสินค้า เช่น กระเบื้องและสุขภัณฑ์ อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวสำหรับการเชื่อมต่อประสบการณ์เพื่อเพิ่มยอดขายจะยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอยู่

ในขณะที่ร้านค้าปลีกรายย่อยยังคงเจอโจทย์ที่ท้าทายเนื่องจากยอดขายพึ่งพาลูกค้าในบริเวณท้องถิ่นเป็นกำลังซื้อหลัก และการแข่งขันที่รุนแรงจากสภาพเศรษฐกิจและความสามารถการแข่งขันที่ลดลง ดังนั้น เพื่อที่จะอยู่รอด จำเป็นที่จะต้องปรับตัวด้วยการพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ผ่านจุดแข็งด้านความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาท้องถิ่น การขายสินค้าด้วยเครดิตหรือการรวมกลุ่มกันระหว่างร้านค้าเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง โดยสามารถใช้จุดแข็งของตนเองในเรื่องของความสัมพันธ์กับลูกค้าท้องถิ่นและการแนะนำคุณลักษณะสินค้าและวิธีการติดตั้งหรือใช้งานให้ถูกต้องเพื่อที่ลูกค้าจะได้กลับมาซื้อในระยะยาว ทั้งนี้อาจจะเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในร้านโดยการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Partnership) กับร้านค้าปลีกย่อยอื่นๆ เพื่อตกลงกันถึงการฝากขายหรือการแนะนำลูกค้าให้กัน เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในร้านและลดปริมาณเงินที่ลงทุนไปกับการซื้อสินค้าคงคลัง

เทรนด์วัสดุก่อสร้างเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นโจทย์ที่ท้าทาย

ในอนาคตคาดว่าผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างเริ่มมีแนวโน้มขายสินค้าตรงโดยไม่ผ่านตัวแทนจำหน่ายมากขึ้นโดยผ่านช่องทางออนไลน์ สังเกตได้จากตัวเลขการลงทุนและยอดขายของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทของประเทศไทย ความคุ้นเคยของผู้ซื้อและการซื้อขายด้วยเครดิตของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จะทำให้การซื้อสินค้าผ่านทางตัวแทนจำหน่ายจะยังคงเป็นช่องทางหลักต่อไป แต่ผู้ประกอบการน่าจะยังคงหาทางเชื่อมช่องทางการขายสินค้าทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและเป็นการเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างช่องทางจำหน่ายเดิม (ผ่านตัวแทนจำหน่าย) และการลงทุนในช่องทางออนไลน์ โดยพิจารณาจากฐานลูกค้าเป้าหมายและการวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ของตนเอง เนื่องจากวัสดุก่อสร้าง เป็นสินค้าที่เฉพาะเจาะจงและมีรายละเอียดซับซ้อนและแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งแม้สัดส่วนการขายผ่านออนไลน์อาจค่อยๆ เพิ่ม แต่ก็คงเพราะมาจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ และยังคงเน้นไปที่สินค้าที่ซับซ้อนน้อยเป็นหลักก่อน

ในส่วนของเทรนด์วัสดุก่อสร้างสำหรับอนาคตที่ร้านค้าอาจจะเริ่มเตรียมศึกษาเพื่อนำสินค้าใหม่ๆเข้ามาขายมากขึ้น คาดว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้างที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจภาวะโลกร้อนและภาวะมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ประเทศต่างๆ เช่น ยุโรปและจีน เริ่มมีการนำวัสดุก่อสร้างรักษ์โลกมาใช้และมีการเตรียมกฎหมายและมาตรฐานต่างๆ เพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซ CO2 สาเหตุมาจากอุตสาหกรรมก่อสร้างทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รัฐบาลของประเทศเหล่านี้จึงเข้ามาควบคุมมากขึ้น โดยสินค้าและรูปแบบการก่อสร้าง ที่คาดว่าน่าจะมีการผลิตและใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ได้แก่หลังคาโซลาร์เซลล์, คอนกรีตคาร์บอนต่ำ, การผลิตเหล็กที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ, วัสดุทางเลือกทดแทนไม้ และอาจจะรวมถึง การพริ้นท์คอนกรีตสามมิติ โดยการใช้งานและความแพร่หลายจะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐ หน่วยงานกำกับมาตรฐานวิศวกรรม ความคุ้มทุนของผู้ผลิตและความต้องการของผู้บริโภค

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*