แอสเซทไวส์ฯเผยผลประกอบการปี63 คว้ารายได้กว่า 4,205 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 20.6% ระบุหลังจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ พร้อมรุกอสังหาฯเต็มสูบ ปี 64 จ่อเปิด 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 10,850 ล้านบาท ชู 3 แบรนด์หลัก MODIZ, ATMOZ และ KAVE มอบความสุขที่แตกต่าง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของทุกกลุ่มลูกค้า
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท   แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า จากวิกฤติไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องปรับตัว โดยเฉพาะในเรื่องการอยู่อาศัย เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะมีการนำวัคซีนมาฉีดป้องกันโควิด-19 แล้ว ซึ่งในส่วนของบริษัทฯเองหลังจากที่นำบริษัทฯเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ประมาณไตรมาส 2/2564 นี้ ซึ่งบริษัทฯก็จะรุกการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ รวมไปถึงการเตรียมพร้อมในการรุกทำตลาด เมื่อภาพรวมตลาดมีการฟื้นตัว ซึ่งเป็นการต่อยอดจากปี 2563 ที่ผ่านมา ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเป็นอย่างดี โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทพัฒนาโครงการไปแล้วถึง 33 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 30,400 ล้านบาท รวมไปถึงการประสบความสำเร็จในการเปิดตัว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,637 ล้านบาท คือ

โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง  (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng)

-โมดิซ ลอนช์ (Modiz Launch)

-บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ (Baan Puripuri Courtyard – Pattanakarn)

โดยสามารถทำยอดขายจากโครงการใหม่ได้ถึง 2,407 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมี backlog คิดเป็นมูลค่า 7,848 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 – 2566 ในส่วนของโครงการพร้อมอยู่ (Ready-to-move Projects) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทมีห้องชุดของโครงการพร้อมอยู่คงเหลือในปีนี้คิดเป็นมูลค่า 4,094 ล้านบาท  และบริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 คิดเป็นมูลค่า 6,694 ล้านบาท

โดยโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563  คือ

-บ้านภูริปุรี ทาวน์โฮม ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Townhome Ladprao 41),

-แอทโมซ แจ้งวัฒนะ (Atmoz Chaengwattana),

-แอทโมซ รัชดา – ห้วยขวาง (Atmoz Ratchada – Huaikwang)

-เคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space)

ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ถึง 4,205 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ถึง 60% และด้วยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 44.2%  ทำผลกำไรสุทธิได้ถึง 871 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.6% ซึ่งจัดเป็นอัตราที่สูงน่าพอใจ

สำหรับในปี 2564 นี้ บริษัทเตรียมแผนเปิดตัวใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการแนวสูง 5 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 10,850 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการ เคฟ ศาลายา (Kave Salaya) ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 4 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 7 ชั้น  จำนวน 3 อาคาร จำนวน 588 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,156 ล้านบาท

2.โมดิซ ไรห์ม คลาวด์ (Modiz Rhyme Cloud) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯไฮไรส์ สูง 44 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 1,205 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,728 ล้านบาท

3.แอทโมซ บางนา (Atmoz Bangna) ตั้งอยู่บริเวณ กม.4.5 บนพื้นที่ 10 ไร่เศษ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 5 อาคาร จำนวน 1,123 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,245 ล้านบาท

4.เคฟ เอวา (Kave Ava) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร จำนวน 1,269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,366 ล้านบาท

5.โมดิซ ศรีราชา (Modiz Sriracha) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯไฮไรส์ 1 อคาร จำนวน 592 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,260 ล้านบาท

6.บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Homeoffice Ladprao 41)   ตั้งอยู่บนพื้นที่ 224.1 ตารางวา เป็นโฮมออฟฟิศ 3 ชั้นครึ่ง ขนาด 320 ตารางเมตร จำนวน 6 ยูนิต ราคา 15 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ในปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯจะชะลอตัว แต่ผู้ประกอบการก็เร่งระบายสินค้าออกเกือบหมด ทำให้ซัพพลายเหลือน้อยลง ดังนั้นแม้ปีนี้จะทยอยเปิดตัวกันมากขึ้น แต่คอนโดฯเป็นซัพพลายที่ต้องก่อสร้างล่วงหน้า เชื่อว่าเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นช่วงที่ภาพรวมตลาดฟื้นตัว ประกอบกับโครงการของบริษัทฯเน้นพัฒนาในรูปแบบโลว์ไรส์ จึงสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งบริษัทฯได้พยายามกระจายการพัฒนาในทำเลใหม่ๆ ในคอนเซ็ปต์ที่มีดีมานด์ เพราะที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ ไม่ใช่สินค้าที่ฟุ่มเฟือย ที่ผ่านมาสินค้าของบริษัทฯจึงได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งนี้ส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ผ่านมาเกิดจากการที่บริษัทมีทีมงานและวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง และมีความ   ไดนามิคสูง คือ

1.FOCUS ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการและบริการต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด

2.FLEXIBILITY ปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในภาวะที่ผันผวน ให้มีความคล่องตัวในการทำงาน และเปิดรับแนวการทำงานใหม่ ๆ ตลอดเวลา

3.FAST MOVE นำกลยุทธ์และแผนงานไปปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อการแข่งขัน

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตามกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้แนวคิด “The NEXT Paradigm” ที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยแนวคิดสำคัญของแอสเซทไวส์ฯ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนใน Next Paradigm ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลักสำคัญ ได้แก่

Facilities for New Lifestyle : ในโลกยุคใหม่ “บ้าน” มีความสำคัญยิ่งขึ้น คนใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น    ทั้งทำงาน ทำกิจกรรม และพักผ่อน  แอสเซทไวส์ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางในโครงการมาโดยตลอด และจะยังคงมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้มีบรรยากาศสวยงาม มีความหลากหลาย รองรับทุกกิจกรรมการพักผ่อนเพื่อความรื่นรมย์และผ่อนคลาย และมีพื้นที่รองรับการทำงานและการเรียนที่บ้าน ทั้งในรูปแบบ Co-working space, Library, Meeting Room, Living Lounge เพื่อรองรับการทำงานแบบ Work From Home ให้ดีที่สุด ให้การใช้เวลาในที่พักของลูกบ้านเป็นเวลาที่ดีที่สุด

Health Concern : เนื่องด้วยปัจจุบัน สุขภาพกลายเป็นเรื่องที่สําคัญมาก  ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ   แอสเซทไวส์ ที่ให้ความสําคัญกับสุขภาพลูกบ้าน ภายใต้แนวคิด “Health Solution”  แอสเซทไวส์จึงต่อยอดการดูแลสุขภาพของลูกบ้าน ด้วยไฮไลต์พิเศษในพื้นที่ส่วนกลาง นั่นคือการสร้างสรรค์ “Health Station” ขึ้น ทั้งนี้ใน Health Station ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ในการตรวจสุขภาพเบื้องต้นไว้ให้แก่ลูกบ้าน ได้แก่ Tytocare ซึ่งเป็นอุปกรณ์ออนไลน์ที่แพทย์ใช้ตรวจทราบอาการของผู้ป่วยผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างเรียลไทม์ รวมถึง เครื่อง BMI (เครื่องตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย), เครื่อง AED (เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ) และเครื่องวัดความดันชนิดสอดแขน  Health Station นับเป็น Facility ใหม่ในวงการ อสังหาริมทรัพย์ และเริ่มนําร่องในโครงการแอทโมซแจ้งวัฒนะ (Atmoz Chaengwattana), แอทโมซ      รัชดา – ห้วยขวาง (Atmoz Ratchada – Huaikwang), เคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space)         และเคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) นอกจากนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดทุกพื้นที่อย่างเข้มงวด

Innovation for Living : แอสเซทไวส์เสาะหานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อให้เกิดทั้งความสุขและความสะดวกสบายในที่พัก ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth Sound System เพื่อการฟังเพลงในห้องพัก, พื้นที่สำหรับกิจกรรม e-sports ไปจนถึงการใช้ออนไลน์แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ

Strengthen Sustainability : แอสเซทไวส์ได้จัดทำโครงการหลายอย่างเพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม  โดยจัดอบรมการคัดแยกขยะ และการจัดการขยะอันตรายให้แก่นิติบุคคล พนักงาน ลูกบ้าน จัดทำพื้นที่วางถังขยะ และทำเครื่องหมายการคัดแยกทิ้งขยะไว้อย่างชัดเจน สำหรับอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านในโครงการฯ  ให้เกิดการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน  จัดโครงการ ASW ปันอิ่มเพื่อช่วยชุมชนในช่วงโควิด-19 และจัดโครงการจิตอาสาปันสุขเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลน  ทุนทรัพย์ และโครงการปันโลหิตเพื่อรับบริจาคโลหิตช่วยผู้ป่วย
สำหรับในปี 2564 บริษัทฯจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,694 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ เคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift), บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ (Baan Puripuri Courtyard – Pattanakarn), เคฟทียู (Kave TU), บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Homeoffice Ladprao 41) และโมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50)

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ  “We Build Happiness” ผ่านแบรนด์ต่าง ๆ ที่ตั้งใจออกแบบมาให้รองรับความต้องการที่หลากหลาย ในวันนี้ บริษัทฯ พร้อมที่จะให้บ้านและคอนโดของแอสเซทไวส์เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เชื่อมต่อความสุข ผ่านแบรนด์คอนโดมิเนียมหลัก 3 แบรนด์สำคัญ ได้แก่

1.MODIZ (โมดิซ) แบรนด์คอนโดมิเนียมคนเมืองที่มีความโดดเด่นหรูหราสไตล์โมเดิร์น เน้นการเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกสบายบนทำเลแนวรถไฟฟ้า พร้อมพรั่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ เพื่อให้ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย เต็มที่กับทุกวันของชีวิต

2.ATMOZ (แอทโมซ) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์ รีสอร์ท ภายใต้แนวคิด “Urban Refresh” โดยมีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง สวนและสระขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย เพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานที่ต้องการ      การพักผ่อนและเติมเต็มความสุขในทุกวัน เสมือนได้เติม Daily Endorphin ทุกครั้งที่กลับบ้าน

3.KAVE (เคฟ) แบรนด์คอนโดมิเนียมใกล้สถานศึกษา (Campus Condo) ที่เชื่อในพลังของความแตกต่างของคนรุ่นใหม่ มีการออกแบบดีไซน์พื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพื่อให้รองรับทุกไลฟ์สไตล์และความสนใจของคนรุ่นใหม่ โดยทั้ง 3 แบรนด์นี้ถือเป็นแบรนด์หลักของแอสเซทไวส์ และยังเป็นแบรนด์ที่รู้จักในวงกว้าง จนได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งมาจากปัจจัยในการวิเคราะห์ศักยภาพทำเลอย่างลึกซึ้ง เพื่อพัฒนาโครงการได้อย่างตรงจุดและตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงการคัดสรรพันธมิตรในการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน โดยทั้งหมดจะคำนึงถึงการใช้งานได้จริง อีกทั้งนักลงทุนจะคุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะให้ผลตอบแทน 6-10%ต่อปี

“เพื่อเป็นการตอกย้ำความแตกต่างของทั้งสามแบรนด์หลัก แอสเซทไวส์ได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณา  3 แบรนด์สำคัญดังกล่าว สื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์และแนวคิดของแต่ละแบรนด์ที่เราได้ทำการศึกษา และออกแบบผลิตภัณฑ์มาเพื่อให้ตอบโจทย์ และเชื่อมต่อความสุขสู่ทุกกลุ่มลูกค้าได้อย่างแท้จริง” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*