แสนสิริ จับมือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมหาทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติผ่านโครงการใหญ่ “SANSIRI x SCB : BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกันเพิ่มทางรอดวิกฤติ COVID-19 ให้ SMEs เผย 5 มาตรการ สร้างการช่วยเหลือทุกมิติ  รวมวงเงินสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ 1,000 ล้านบาท วางเป้าปี 2564 ช่วย SMEs ไทย 1,500 ราย นำร่อง 6 กลุ่มธุรกิจ ด้วยวงเงินซื้อสินค้า 6,000 ล้านบาท และการให้สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจพิเศษรวม 1,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมไตรมาส 1/64 ทะลุเป้า 5,000 ล้านบาท
นายอภิชาติ จูตระกูล1
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึง สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงมีความเปราะบางเพราะทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 ต่อเนื่องมากว่า 1 ปี ภาคการส่งออก การท่องเที่ยวหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก ซึ่งภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแรกก็คือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากการมีข้อจำกัดด้านเงินทุน การเข้าถึงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และโอกาสในการแข่งขัน แม้ว่าเอสเอ็มอีหลายแห่งจะปรับตัวหันไปเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซและลดต้นทุนด้านพนักงานลง แต่ก็ยังมีเอสเอ็มอีอีกหลายแห่งที่ต้องทยอยปิดตัวลงไปอย่างต่อเนื่อง และหากสถานการณ์ไม่คลี่คลายในเร็วๆนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เนื่องจากเอสเอ็มอีเป็นฟันเฟืองที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยข้อมูลจากธนาคารโลกประจำประเทศไทยพบว่าในปี 2563 เอสเอ็มอีของประเทศไทยมีสัดส่วนกว่า 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีอัตราการจ้างงานคิดเป็น 80% ของการจ้างงานภาคเอกชน จึงถือเป็นอีกเส้นเลือดใหญ่ที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงการจ้างงานจำนวนมาก เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจึงต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

จากการตระหนักถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงของเอสเอ็มอีล่าสุด แสนสิริ จึงได้ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB  ในการผนึกกำลังช่วยเหลือเอสเอ็มอีภายใต้โครงการ“SANSIRI x SCB: BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกัน เพื่อเป็นต้นแบบสร้างการรับรู้เพื่อกระตุ้นให้องค์กรขนาดใหญ่เข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอี ให้สามารถฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน จากการร่วมมือกันในครั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายการเข้าช่วยเหลือเอสเอ็มอีในปี 2564 จำนวน 1,500 ราย หรือคิดเป็นวงเงินการช่วยเหลือรวม 7,000 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินอุดหนุนสินค้าจากเอสเอ็มอีจากแสนสิริ 6,000 ล้านบาท และเงินสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจจากธนาคารไทยพาณิชย์ 1,000 ล้านบาท โดยกลุ่มเอสเอ็มอีเป้าหมายที่จะเข้าไปช่วยเหลือในโครงการนำร่องมี 6 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน กลุ่มงานบริการด้านที่อยู่อาศัย และกลุ่มธุรกิจอาหาร

โดยโครงกา“SANSIRI x SCB: BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกัน” เปิดกว้างโอกาสสำหรับ SMEs รายเล็กทุกราย เพื่อขับเคลื่อนช่วยเหลือ SMEs ไทยในทุกมิติ ประกอบด้วย SMEs รายเล็กทั่วไป ลูกบ้านแสนสิริที่ประกอบธุรกิจ และคู่ค้ากลุ่มผู้ประกอบการของแสนสิริ ภายใต้ 5 กลยุทธ์ ดังนี้

1.สร้างรายได้ให้เพิ่ม (Buy) ด้วยการเข้าซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีที่มีขนาดเล็ก

2.สร้างช่องทางการเข้าถึงลูกค้า (Reach) เช่น การเพิ่มช่องทางการโปรโมทธุรกิจ สินค้า และบริการของเอสเอ็มอีด้วยช่องทางสื่อออนไลน์ของแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ รวมถึงโปรโมทผ่านแสนสิริแฟมิลี่ที่มีอยู่ในการดูแลกว่า 100,000 ครอบครัว

3.สร้างตลาดใหม่บนโลกออนไลน์ (Transformation) ด้วยการขยายตลาดของเอสเอ็มอีไทยสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ เช่น NocNoc.com ตลาดออนไลน์วัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้านครบวงจร, Robinhood แอปพลิเคชั่น Food Delivery เพื่อผู้ประกอบการรายเล็กและ WeChef แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวม Food Truck ของไทย

4.สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ (Enhance) โดยธนาคารไทยพาณิชย์จะนำ Tech Efficiency Program เข้ามาช่วยด้านการลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอีอย่างมีประสิทธิภาพ

5.สร้างสภาพคล่อง (Financial Flexibilities) โดยธนาคารไทยพาณิชย์จะให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อธุรกิจที่ให้กับเอสเอ็มอีด้วยวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท

“กลยุทธ์ทั้ง 5 ข้อนี้ ทางแสนสิริได้ดำเนินการช่วยเหลือตามข้อ 1-3 ไปแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากคู่ค้ารายย่อยของแสนสิริที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ส่งผลให้ตลอดปี 2563 แสนสิริได้ให้การช่วยเหลือเอสเอ็มอีไปแล้วกว่า 900 ราย รวมเป็นวงเงินในการช่วยเหลือกว่า 4,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้มั่นใจว่าโครงการให้การช่วยเหลือเอสเอ็มอีจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและยั่งยืนขึ้น เพราะมีธนาคารไทยพาณิชย์เข้ามาร่วมผนึกกำลังและสานต่อการช่วยเหลือในข้อ 4 และข้อ 5 ในด้านการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสม เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ              ด้วยเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีรอดพ้นจากวิกฤติได้เร็วขึ้น” นายอภิชาติ กล่าว

นายอาทิตย์ นันทวิทยา

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  หรือ SCB  กล่าวว่า  ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักถึงความสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงพร้อมที่จะสนับสนุนและยืนหยัด อยู่เคียงข้างเอสเอ็มอีในทุกวิกฤติ ตลอดเวลาหนึ่งปีของสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในรูปแบบต่างๆ การช่วยหาช่องทางการขายเพื่อสร้างรายได้ใหม่ รวมถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะผันผวนของเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงแรกได้ให้ความช่วยเหลือรวมแล้วกว่า 402,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามความช่วยเหลือจากธนาคารอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีทั้งระบบก้าวพ้นวิกฤตินี้ไปได้ จึงเล็งเห็นโอกาสที่จะผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของประเทศ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในวงกว้างขึ้น

ดังนั้น การร่วมมือกับแสนสิริในโครงการ “SANSIRI x SCB: BUILD FOR ALL สร้างไปด้วยกัน” จึงเป็นการสานต่อปณิธานของธนาคารในการเข้าช่วยเหลือธุรกิจทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการผนึกศักยภาพที่แตกต่างกันของทั้งสององค์กรเพื่อส่งต่อความช่วยเหลือและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย นับเป็นโครงการต้นแบบบนแนวคิดเศรษฐกิจเกื้อกูลพึ่งพากันแบบเพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้อง ให้ร่วมมือกันฝ่าวิกฤติได้อย่างน่าชื่นชม ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น ธนาคารยินดีที่จะให้ความร่วมมือใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1.สนับสนุนวงเงินสินเชื่อธุรกิจรวม 1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจแก่ SMEs ไทยที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 1.99%* เป็นระยะเวลา 3 เดือนแรก ให้กับกลุ่มลูกบ้านแสนสิริที่ประกอบธุรกิจ รวมถึงคู่ค้ากลุ่มผู้ประกอบการในเครือข่ายแสนสิริ ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้อย่างราบรื่น

2.มอบองค์ความรู้เพื่อเสริมศักยภาพทางด้านดิจิทัลและลดต้นทุนแก่กลุ่มผู้ประกอบการซัพพลายเชนของแสนสิริ ผ่านการจัดอบรมสัมมนา และ Business Matching เพื่อเปิดโอกาสพบคู่ค้ารายใหม่ของธนาคาร

3.สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารให้เข้าสู่แอปพลิเคชันโรบินฮู้ด (Robinhood) แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (จีพี) ช่วยเพิ่มช่องทางขายการนอกเหนือจากหน้าร้าน ทั้งนี้ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นลูกบ้านของแสนสิริอีกกว่า 1,000 ครอบครัว

“ธนาคารไทยพาณิชย์อยากให้โครงการร่วมมือในครั้งนี้เป็นโครงการต้นแบบให้องค์กรขนาดใหญ่จับมือกันในการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็กให้ประคองธุรกิจผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในอนาคต และธนาคารจะเดินหน้าเฟ้นหารูปแบบความช่วยเหลือเพิ่มเติม และขยายเครือข่ายเศรษฐกิจเกื้อกูลไปสู่องค์กรธุรกิจชั้นนำอื่นๆ เพื่อสร้างโอกาสท่ามกลางวิกฤตให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และช่วยให้ประเทศไทยผ่านบททดสอบครั้งสำคัญนี้ไปได้อย่างมั่นคง” นายอาทิตย์ กล่าวในที่สุด

นายอุทัย อุทัยแสงสุข

ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI  กล่าวถึง ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่ายังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไนตลาดอยู่มาก แต่กำลังซื้อของคนอาจจะลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับภาวะของตลาด โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนส่วนใหญ่และการพัฒนาโครงการในราคาที่ครส่วนใหญ่จับต้องได้มากขึ้น ซึทงเป็นสนวทางการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัทในปี 2564 ที่จะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการไนราคาที่จับต้องได้ง่าย ที่คนส่วนใหญ่ที่อาจจะมีรายได้ไม่สูงมาก แต่สนใจอยากมีบ้าน และมีกำลังในซื้อในระดับหนึ่ง สามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ โดยที่จะมีการพัฒนาโครงกาวในระดับราคาที่จับต้องได้ที่จะพัฒนาในปีนี้สัดส่วนที่มากถึง 70%

“ถือว่าเป็นการปรับสมดุลของตลาดระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้าที่เข้าหากันมากขึ้น ผู้ประกอบการก็พยายามหาแนวทางในการพัฒนาโครงการที่ราคาจับต้องได้ แต่ไซส์ห้องอาจจะไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิมที่เคยพัฒนา เพื่อทำราคาให้ลูกค้าเข้าถึงได้จริงๆ และในส่วนก็ลูกค้าที่รายได้อาจจะไม่มากก็โอเคกับราคาและขนาดของห้องที่อยู่ ซึ่งผู้ประกอบการและลูกค้าต่างเข้าใจ ทำให้การพัฒนาโครงการตอบโจทย์ได้ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดในภาวะที่เป็นอยู่”นายอุทัย กล่าว

ทั้งนี้แผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่จับต้องได้ง่าย ที่ราคา 1 ล้านบาทต้นๆแต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท บริษัทวางแผนจะเปิดพร้อมกับทั้ง 4 โครงการ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งคาดว่าจะเป็นสร้างสีสันให้กับตลาดและตอบโจทย์กับลูกค้าส่วนใหญ่ที่มองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่าในช่วงไตรมาส 1/2564 จะสามารถทำยอดขายได้เกิน 6,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯตั้งเป้าไว้ในไตรมาส 1/2564 ที่ 5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯสามารถทำยอดขายไปได้แล้ว 6,000-7,000 ล้านบาท โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา ยอดขายของบริษัทในแต่ละสัปดาห์ทำได้ในระดับที่ดีมาต่อเนื่องเฉลี่ย 900-1,000 ล้านบาท/สัปดาห์ ซึ่งมาจากการที่ลูกค้ากลับมาซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง หลังจากโควิด-19 รอบใหม่ เริ่มคลี่คลายลง โดยเฉพาะการขายโครงการแนวราบที่ยังสามารถสร้างยอดขายได้ดี และบริษัทยังมีการจัดแคมเปญโปรโมชั่นแสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัททำได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าไนช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทจะไม่มีการเปิดโครงการใหม่ก็ตาม

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*