ไซมิส แอสเสท กางแผนปี64 เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ระบุโควิด-19 ระลอกใหม่ มีผลกระทบระยะสั้น ด้านธุรกิจมองว่ามีปัจจัยบวก ทั้งการนำเข้าวัคซีน-ดอกเบี้ยต่ำเพราะค่าเงินบาทแข็ง ช่วยเสริมเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ตั้งเป้ารายได้ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท รุกกระจายการลงทุนหลากหลาย ทั้งอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการห้องพัก โครงการ Branded Residence หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ NPA เพื่อนำมาพัฒนาต่อ พร้อมอยู่ระหว่างศึกษาแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจ
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในปี 2564 คาดว่าจะมีการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการหลายบริษัทต้องปรับตัวและวางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม Real Demand ที่เป็นผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย

โดยบริษัทฯมุ่งเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพ ตลอดจนสร้างความแตกต่างของโครงการในแต่ละทำเล ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD) โดยมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญออกแบบโครงการ พร้อมนำนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาใช้ เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับแต่ละโครงการ และยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ คาดว่าจะมีผลกระทบในระยะสั้น อีกทั้งหากประเมินในเชิงธุรกิจ มองว่ายังมีปัจจัยบวก ทั้งการที่เริ่มมีวัคซีนเข้ามาและดอกเบี้ยต่ำลง หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นทำเลเกาะติดแนวรถไฟฟ้า และมี Real Demand ของผู้อยู่อาศัย ได้แก่
1.โครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการซื้อที่ดิน และการออกแบบโครงการ

2.โครงการ Blossom Condo @ Fashion 3 ย่านรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็น Mixed-use Real Estate ประกอบด้วย โรงแรม ห้องชุดพักอาศัย ห้องชุดแบบมีบริการให้เช่า พื้นที่เชิงพาณิชย์ และห้องประชุมโครงการ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 1/2564

พร้อมกันนี้ บริษัทฯมีแผนเข้าซื้อ NPA และนำมาพัฒนาต่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่โครงการอย่างต่อเนื่อง เน้นทำเลใจกลางเมืองที่มีศักยภาพ เช่น โซนสุขุมวิท โดยมองว่าในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นโอกาสซื้อสินค้าทรัพย์ในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้บริษัทฯ วางแผนเพิ่มสัดส่วนทรัพย์สิน NPA ในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าในอนาคต

โดยบริษัทฯ กระจายความเสี่ยงการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยวางแผนธุรกิจแบบผสมผสานและยืดหยุ่นเพื่อขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) ทั้งในรูปแบบอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการห้องพักแบบโรงแรม ปัจจุบันมีโครงการรูปแบบดังกล่าวในพอร์ตกว่า 1,000 ยูนิต ขณะเดียวกันได้พัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence โดยจัดตั้ง บริษัท ไซมิส แอนด์ คิว กรีน เมเนจเมนท์ คอมพานี ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกลุ่ม Kew Green Hotels เพื่อรองรับการบริหารธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำบริการของโรงแรมชั้นนำระดับโลกหลากหลายแบรนด์ เช่น Wyndham, Ramada ,The Crowne Plaza by IHG ,Cassia by Banyan Tree เข้ามาบริหารอาคารพักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน ถือว่าเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ โดยตั้งเป้าดึงแบรนด์มีชื่อเสียงเหล่านั้นเข้ามาร่วมขยายโครงการรูปแบบ Branded Residence ตามพื้นที่ชานเมืองหรือจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กระจายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เช่น ร้านกาแฟแบรนด์ Kafeology ร้านอาหารไทย Rosemary เป็นต้น ขยายการลงทุนในธุรกิจสปาและ Wellness Center รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เพื่อเข้าลงทุนในโครงการอสังหาฯ ที่มีรายได้จากค่าเช่า เช่น โรงแรม อาคารชุดพักอาศัยพร้อมบริการ (Serviced Residence) อาคารสำนักงานให้เช่า เป็นต้น เพื่อระดมทุนนำมาใช้ขยายธุรกิจ ซึ่งจะต้องประเมินความคุ้มค่าด้านผลตอบแทน

ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัทฯวางเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรระดับประเทศ โดยตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 – 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,300 ล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*