บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด ถือเป็นบริษัทอสังหาฯรายเล็กที่ก่อตั้งและพัฒนาโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่  ระดับราคา 1-5 ล้านบาท ที่มีจุดเริ่มต้นที่สระบุรี และขยายฐานลูกค้าต่อเนื่องไปชลบุรี พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพฯ-ปริมณฑล  โดย 20 กว่าปีที่ผ่านมาพัฒนามาแล้วรวมกว่า 20 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท แต่เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่ง และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ ในตลาดอสังหาฯ หนทางเดียวที่จะต้องเดินคือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเริ่มต้นจากตลาดเอ็ม เอ ไอ(mai) เพื่อนำเงินไปต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้น  และสามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทอสังหาฯชั้นนำได้ในอนาคต ซึ่งทีมงาน prop2morrow ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “วีระพันธ์ จักรไพศาล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือJAK ถึงประวัติความเป็นมาในการเข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
จากพนักงานแบงก์ก้าวสู่เส้นทางนักธุรกิจอสังหาฯ

โดยก่อนที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาฯเคยดำรงตำแหน่งสมุห์บัญชีธนาคารทำให้มีประสบการณ์ในด้านสินเชื่อ ทำให้รู้จักลูกค้าที่เป็นหนี้ธนาคารในหลากหลายธุรกิจ ด้วยการเคยช่วยลูกค้าที่ประสบปัญหาด้วยการช่วยนำที่ดินไปขายต่อและได้ผลกำไร จึงมีแนวความคิดว่าหากต้องการที่จะเติบโตในธุรกิจควรจะต้องมีการจัดตั้งบริษัทให้ถูกต้อง ประกอบกับในช่วงนั้นมีพันธมิตรชาวญี่ปุ่นที่รู้จักเป็นการส่วนตัว นำเงินทุนจำนวน 30 ล้านบาท มาร่วมดำเนินธุรกิจกับตน จึงได้ก่อตั้งบริษัท สุนทรไพศาลบ้านและที่ดิน จำกัด ขึ้นมาเมื่อปี 2547 (จดทะเบียนยกเลิกในปี 2561)พัฒนาโครงการแรกที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยกลุ่มของตนถือหุ้น70% และพันธมิตรญี่ปุ่น ถือหุ้น 30% ซึ่งพัฒนาโครงการแนวราบมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี (รวมทั้งในนามบริษัท สุนทรไพศาล(2008) จำกัด และได้จดทะเบียนยกเลิกไปเมื่อปี 2556)โดยเป็นการพัฒนา 1 โครงการต่อ 1 บริษัท รูปแบบโครงการจะมีทั้งอาคารพาณิชย์บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ 

จนกระทั่งปี 2546 ได้ก่อตั้งบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด ขึ้นมา และรุกการพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคาตั้งแต่ 1.5-5 ล้านบาท ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาชลบุรี และชานเมืองกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มีการเข้าไปพัฒนาใน 3 อำเภอคือ เมือง พานทอง และศรีราชา โดยโครงการในอ.พานทอง จะพัฒนาในนามบริษัทเอ็ม.ที.เอส.พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี กลุ่ม “จักรไพศาล” พัฒนาโครงการมาแล้วรวมกว่า 20 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยพัฒนาปีละ 1-2 โครงการ แต่ละโครงการใช้พื้นที่ประมาณ 30-40 ไร่ มูลค่าประมาณกว่า 300 ล้านบาท/โครงการ 

แปรสภาพจากอสังหาฯภูธรปริมณฑล ระดมทุนเข้าตลาด mai

โดยกลุ่ม “ทรัพย์ไพศาล” มองว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพียงปีละ 1-2 โครงการ คงไม่เพียงพอที่จะสร้างการรับรู้รายได้ให้กับบริษัทต่อปีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความคิดที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนนำเงินมาต่อยอดธุรกิจนั้น เป็นแนวความคิดที่ “วีระพันธ์” คำนึงมาโดยตลอด จนในปี 2563 ได้ตัดสินใจนำ “จักรไพศาล เอสเตทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด(มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทยจํากัด (มหาชนและบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด

โดยได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25.85 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ในราคา IPO หุ้นละ 1.45 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ซึ่งได้เปิดให้จองซื้อหุ้นเมื่อวันที่8, 11 และ 12 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมากและพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งกำหนดวันที่  18 มกราคม 2564 เข้าจดทะเบียนซื้อขายเป็นวันแรกโดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า  “JAK”โดยราคาหุ้นเปิดการซื้อขายอยู่ที่ 2.26 บาท ให้ผลตอบแทนนักลงทุน 55.86% จากราคาไอพีโอที่ 1.45 บาทต่อหุ้น และราคาปรับขึ้นสูงสุดของวัน ที่ 2.36 บาท และปิดตลาดที่ 2.02 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 445.17 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกำหนดราคาไอพีโอที่เหมาะสม ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต และเชื่อว่า JAK จะได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ

บริษัทฯ จะนำเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการได้มากขึ้น /การเข้าลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา นำไปชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 2564 นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งต่อสถาบันการเงิน  คู่ค้าธุรกิจ รวมทั้งลูกค้า

ทั้งนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถไปโรดโชว์กับนักลงทุน แต่หุ้น IPO ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีจุดแข็ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงาน ทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความจริงใจต่อลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี2560 – 2562) เฉลี่ยสูงถึง 50% ต่อปี (CAGR)  สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยอยู่ที่ 30% และได้กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.45 บาทต่อหุ้น โดยเม็ดเงินระดมทุนจำนวน 120 ล้านบาท จะยิ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับ JAK ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทฯ พร้อมทั้งเน้นการถือลงทุนระยะยาว โดยหวังว่าผู้ลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน JAK จะได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่เป็น Growth stock และเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

 

ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 320 ล้านบาท  แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1.00 บาท โดยกลุ่มจักรไพศาล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ สัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 54.17 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ภายหลังเสนอขาย IPO”

 

ปี’64 จ่อผุด 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 800-900 ล้านบาท

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจหลังจากนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ในทำเลเดิมที่เคยพัฒนาเป็นหลักก่อน แต่ก็สนใจที่จะพัฒนาโครงการในทำเลอื่น รวมถึงโครงการแนวสูงด้วยเช่นกัน ทั้งนี้หากมีจังหวะและโอกาส ก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนพัฒนา  ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีประสบการณ์ในการพัฒนาคอนโดฯโลว์ไรส์มาแล้ว 2 โครงการ ในย่านแจ้งวัฒนะ และศรีย่าน ซึ่งประสบความสำเร็จและปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2564 จะเปิดตัวใหม่จำนวน 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ800-900 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการแคนน่า (Canna) ตั้งอยู่ที่ต.บางละมุง .ชลบุรี บนพื้นที่ 21 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของอาคารพาณิชย์,บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณกว่า400 ล้านบาท มีแผนจะเปิดตัวในไตรมาส 1/2564

2.การพัฒนาที่ดินย่านรังสิต บนพื้นที่ 10 ไร่เศษ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วน โดยแปลงแรกพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ พัฒนาภายใต้แบรนด์ “พรีโอนี่(Peony) ในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ขนาด17-20 ตารางวา ราคา 2.3 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 106 ยูนิต มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท มีแผนจะเปิดตัวในไตรมาส4/2564 

ส่วนที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 2 ไร่เศษ มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ในอนาคต ภายใต้แบรนด์ “ไพรน์”(Pine) สูง 8 ชั้น ขนาด 25-30 ตารางเมตรราคาตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 242 ยูนิต แต่ทั้งนี้ต้องรอสถานการณ์ตลาดคอนโดฯกลับมาฟื้นตัว จึงจะสามารถเปิดการขายได้ 

อีกทั้งยังมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย แต่มองว่าโมเดลธุรกิจในประเทศไทยนั้น กลุ่มลูกค้าต้องมีกำลังทรัพย์จำนวนมาก จึงจะเป็นเจ้าของได้ ซึ่งต่างจากโมเดลของญี่ปุ่นที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ทั้งนี้หากโมเดลดังกล่าวรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เมื่อไหร่ ทางกลุ่ม “จักรไพศาลก็พร้อมที่จะเข้าไปพัฒนาทันที

ปัจจุบันกลุ่ม “จักรไพศาล” มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 1โครงการ  คือ

โครงการ เฟิร์น” เฟสที่ 2 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 21 ไร่ บริเวณทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์.ชลบุรี   พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม ขนาด 17.5-59 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 2.59-4.1 ล้านบาท จำนวน 208 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 413 ล้านบาท  

 

แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจอสังหาฯมีการแข่งขันที่สูง เราถึงจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก แต่อย่าลืมว่าช้างตัวใหญ่ก็กินมากกว่า ดังนั้นเราเป็นรายเล็กแต่สามารถควบคุมต้นทุนและการบริหารงานได้อย่างใกล้ชิดกว่า โดยในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดหนัก จะพยายามไม่สร้างสต๊อกให้เหลือมาก หากลูกค้าต้องการบ้านก็สามารถสร้างได้ภายในระยะเวลา 60 วัน ก็พร้อมโอนได้ทันเวลากับที่ลูกค้ากู้ผ่านพอดี ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้ว อีกทั้งลูกค้าก็เป็นเรียลดีมานด์ และมียอด Reject ที่ต่ำมากเพียง 5% เท่านั้น เนื่องจากเรามีการตรวจสอบความกำลังซื้อของลูกค้าก่อนส่งให้แบงก์พิจารณา”

 

นอกจากนี้กลุ่ม “จักรไพศาล” ยังมีที่ดินสะสมในอ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี อีกประมาณ 29 ไร่ ในอนาคตมีแผนที่จะนำมาพัฒนาในรูปแบบแนวราบ แต่ทั้งนี้รอให้โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน – นครราชสีมา เปิดให้บริการเสียก่อน จึงจะเปิดการขายโครงการในทำเลดังกล่าว  และที่ดินอีก 1 แปลง อยู่บริเวณซอยนวลจันทร์ พื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

อย่างไรก็ตามในปี 2564 บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายที่ประมาณ 29 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้รวม 69.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.64 ล้านบาท

ถือว่าเป็นอสังหาฯน้องใหม่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ  ที่แม้จะเป็นรายเล็ก แต่ก็น่าจับตามอง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*