ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ “หุ่นยนต์” เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นทั้งในภาคของธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือแม้แต่หน่วยครัวเรือน ที่เริ่มมีการพัฒนาระบบรองรับการใช้งานของผู้พักอาศัยภายในบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกและคอยช่วยทำงานในเรื่องต่างๆ การพัฒนาหุ่นยนต์ในรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มีความล้ำหน้าไป ถูกพัฒนาให้คล้ายกับมนุษย์ ทั้งในเรื่องของเสียงและการโต้ตอบระหว่างกัน

ด้วยความล้ำหน้าและทันสมัยของหุ่นยนต์จึงส่งผลเกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายและเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงเป็นตัวเร่งที่ทำให้หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานเพื่อลดการสัมผัสและการติดเชื้อระหว่างกัน มีการคาดการณ์ว่าในอนาคต “มนุษย์” จะถูกแทนที่ด้วย “หุ่นยนต์” ความเสี่ยงที่จะทำให้หลายอาชีพหายไป โดยหุ่นยนต์จะช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้นในแง่ของ
-การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่สามารถทำงานให้รวดเร็วขึ้น
-ปริมาณของงานมีจำนวนมหาศาล
-สิ่งที่ทำเกิดขึ้นเป็นประจำ ซ้ำๆ ลักษณะแบบเดิม

แต่อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์ยังคงเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้การควบคุมระบบการทำงานจึงทำให้ไม่มีวิจารณญาณ ความนึกคิด ที่มนุษย์ยังคงมีอยู่ หุ่นยนต์จึงยังไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ในทุกเรื่อง บทบาทและการแทนที่ของหุ่นยนต์ส่งผลต่อการปรับตัวของมนุษย์ และเป็นสัญญาณที่ทำให้คนต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มคุณค่า

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) กล่าวว่า FutureTales Lab by MQDC เปิดเผยว่า การเติบโตของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ซึ่ง International Federation of Robotics (IFR) พบว่า ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ จะมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 31% หรือ 48 ล้านตัว ภายในปี 2564 โดยกลุ่มหุ่นยนต์ที่โตที่สุด คือ กลุ่มหุ่นยนต์ใช้สำหรับงานบริการตามที่อยู่อาศัย (Service Robot) ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นส่วนของกระบวนการดิสรัป (Disruption) ของหลากหลายวงการหากก้าวตามไม่ทัน ทั้งนี้ไทยจะเป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์ในอาเซียน เพื่อต้อนรับ Robotic Economy ข้อมูลจากทาง IFR สะท้อนว่า ภูมิภาคเอเชียถือเป็นตลาดสำคัญอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของโลก โดยมีสัดส่วนมากกว่า 60% ของตลาดโลก คาดการณ์ว่าในปี 2564 ตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 19% ซึ่งจะมีการขยายตัวเร็วที่สุดสูงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และเป็นอันดับ 4 ในระดับโลก รองจากบราซิล 33% อินเดีย 26% และจีน 22%

โดยหุ่นยนต์ที่มีในประเทศไทย ได้แก่

-น้องแสนดี (SAN:DEE) : ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) อำนวยความสะดวกบริการส่งพัสดุ จดหมาย ถึงหน้าห้องลูกบ้าน ที่พักอาศัย

-น้องแมงมุม (Sevy Bot) : หุ่นยนต์ให้การต้อนรับและโชว์ตัวอยู่ที่เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาโรงเรียนสาธิตปัญญาภิวัฒน์ ถนนแจ้งวัฒนะ พัฒนาขึ้นโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนักศึกษาคณะวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) คอยทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ และดูแลทักทายลูกค้าภายในร้าน โดยสามารถโต้ตอบและสื่อสารกับลูกค้า

-หุ่นยนต์ทอดไข่ : พัฒนาโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ มีลักษณะเป็นแขนของมนุษย์ ซึ่งสามารถหยิบจับสิ่งของได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถกระดกพลิกกลับหน้าไข่ได้ โดยในอนาคตหุ่นยนต์ในรูปแบบนี้จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

-น้องดินสอ (DINSOW) : หุ่นยนต์สัญชาติไทยแท้ ที่พัฒนาคิดค้นโดยฝีมือคนไทย กับ บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด บริษัทที่รวบรวมนักวิศวกรรมด้านหุ่นยนต์ มีการพัฒนามาหลายรุ่น ซึ่งปัจจุบันเป็นดินสอรุ่น 3 และก็มีในส่วนของน้องดินสอ มินิ ที่เน้นการดูแลผู้สูงอายุเป็นหลัก

-หุ่นยนต์โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ : หุ่นยนต์ที่ออกแบบลักษณะเป็นผู้หญิงไว้ใช้ต้อนรับ รวมถึงส่งเอกสารภายในระหว่างแผนกภายในโรงพยาบาล

และล่าสุด บริษัทโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obodroid) ภายใต้การบริหารงานของ นายพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obodroid) และ ดร. มหิศร ว่องผาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) บริษัทโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obodroid) เปิดตัวหุ่นยนต์ใหม่ถึง 3 รุ่น ได้แก่

“ไข่ต้ม (KAITOMM)” เป็นหุ่นยนต์เพื่อน/ผู้ช่วยส่วนตัว (Companion/Personal Assistant Robot) ที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคนทุกวัย ทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ทำให้การเชื่อมต่อกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้เป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยสามารถรับคำสั่งและพูดคุยกับผู้ใช้งานในภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ สามารถเชื่อมต่อกับระบบบ้านอัจฉริยะ (Home Automation) เพื่อสั่งการเปิด/ปิดไฟ รวมทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆภายในที่พักอาศัยได้ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับวัดค่าสัญญาณชีพต่างๆเพื่อช่วยดูแลสุขภาพของเจ้าของผู้ใช้งาน และหุ่นยนต์มีกล้องภายในตัว สามารถใช้เป็นกล้องวงจรปิด หรือโทรวีดีโอคอลได้ และมีฟังก์ชั่นอื่นๆของหุ่นยนต์สามารถตั้งเตือน ตั้งปลุก เล่นเพลง สวดมนต์ เช็คสภาพอากาศ และอื่นๆอีกมากมาย เหมาะสำหรับใช้ในที่พักอาศัย

“เอสอาร์วัน (SR1)” หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย มีระบบเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้ได้อัตโนมัติ (Auto-Navigation System) ประกอบด้วยกล้องรอบตัว 360 องศา เพื่อเก็บข้อมูลภาพและเสียงที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ในหุ่นยนต์ตัวนี้คือ เทคโนโลยีการตรวจจับวัตถุในซอร์ฟแวร์ของตัวหุ่นยนต์ ทำให้สามารถตั้งค่าโปรแกรมในการตรวจจับวัตถุต่างๆตามที่ต้องการ เช่น ใบหน้า สิ่งของ สิ่งมีชีวิต หรืออาวุธ พร้อมทั้งส่งข้อมูลแจ้งเตือนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยรับทราบได้ทันที นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการโทรฉุกเฉินที่ผู้อยู่อาศัยหรือผู้คนรอบๆสามารถกดปุ่มเพื่อโทรขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากตัวหุ่นยนต์ได้ในทันที เหมาะสำหรับการใช้งานในโครงการที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ต้องดูแลรักษาด้านความปลอดภัย

“ปิ่นโต (PINTO)” หุ่นยนต์รถเข็นส่งอาหารผู้ป่วย (Quarantine Delivery Robot) ที่สามารถควบคุมการเคลื่อนที่จากระยะไกลได้ และ หุ่นยนต์ “กระจก (MIRROR)” ความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (MI Workspace) โดยมีลักษณะเป็นแท็บเลตใช้สำหรับสื่อสารทางไกล สามารถใช้พูดคุยระหว่างคนไข้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ทันที โดยไม่ต้องกดรับสาย และคนไข้สามารถกดเรียกหาพยาบาลได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งช่วยลดทั้งความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส COVID – 19 จากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง รวมทั้งดูแลทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคได้ง่าย ไม่สะสมให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่อไปได้อีก ซึ่งสามารถตอบโจทย์คณะแพทย์และพยาบาลในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตนี้ได้เป็นอย่างดี

นายพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obodroid) เปิดเผยว่า Obodroid บริษัทวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์บริการและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จับมือกับพันธมิตร MQDC (บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย พัฒนาหุ่นยนต์เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจทั้งในด้านอสังหาริมทรัพย์และด้านอื่นๆ จนครอบคลุมถึงภาคการบริการทั่วไป หุ่นยนต์ดังกล่าวจะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยและประชาชนทั่วไป หุ่นยนต์สัญชาติไทยที่นำมาจัดแสดงในงาน ได้แก่ ‘ไข่ต้ม (KAITOMM)’ หุ่นยนต์เพื่อน/ผู้ช่วยส่วนตัว (Companion/Personal Assistant Robot) ‘เอสอาร์วัน (SR1)’ หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังมีหุ่นยนต์และเทคโนโลยีที่ทางบริษัทฯ ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนามาจัดแสดงด้วย อาทิเช่น ‘ปิ่นโต (PINTO)’ หุ่นยนต์ส่งของเพื่อช่วยการส่งของระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาล รวมทั้ง ‘กระจก (MIRROR)’ แท็บเล็ตพร้อมแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการสื่อสารทางไกล ที่สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติงานดูแลรักษาผู้ป่วย และลดความเสี่ยงจากการรับเชื่อไวรัส COVID – 19 สู่การนำไปใช้จริงในโรงพยายาลต่างๆ ในเกือบทุกภาคส่วนของประเทศไทย

“Obodroid ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์บริการและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยคำนึงถึงการนำไปใช้งานและก่อให้เกิดประโยชน์ สร้างคุณค่าในการยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของคนไทยได้จริงอย่างยั่งยืน โดยเน้นให้หุ่นยนต์สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันกับการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตของมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน เช่น สามารถทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับโครงการที่พักอาศัยและสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Obodroid เป็นบริษัทที่รวบรวมวิศวกรชั้นนำของประเทศไทยที่มีความรู้ความชำนาญในด้านหุ่นยนต์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Robotics & AI) มารวมไว้ด้วยกัน บริษัทมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์บริการ (Service Robots) เพื่อนำไปใช้งานจริงในการบริการด้านต่างๆ อาทิเช่น หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย, หุ่นยนต์ต้อนรับ, หุ่นยนต์โฆษณา, หุ่นยนต์ส่งของ, หุ่นยนต์เพื่อน/ผู้ช่วยส่วนตัว เป็นต้น” นายพลณัฏฐ์ กล่าว

สังคมจะเปิดใจยอมรับการใช้งานหุ่นยนต์มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน มากกว่าจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความทันสมัย ถูกเร่งด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ผู้คนเปิดใจกับการใช้หุ่นยนต์มากขึ้น เพราะความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องความสะอาด (Hygiene) และการรักษาระยะห่างทางสังคม เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าในระหว่างภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้น สะท้อนภาพบวกของการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในชีวิตประจำวัน  อนาคตที่ว่า หุ่นยนต์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก หรือกลายเป็นเรื่องปกติใหม่สำหรับภาพอนาคตของมนุษย์ อย่างไรก็ตามความกังวลว่าหุ่นยนต์จะมาแย่งงาน แต่ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมหุ่นยนต์นี้จะสร้างงานแทนที่จะแย่งงาน รวมทั้งในระยะยาว ซึ่งหุ่นยนต์มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น จะสามารถมาทดแทนหุ่นยนต์ภาคบริการมากขึ้น เช่น หุ่นยนต์ดูแลรักษาสุขภาพ และ ผู้สูงอายุ เป็นต้น ผลที่ตามมา การบริการของมนุษย์จริง จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตาม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*