ณวรางค์ แอสเซทฯมั่นใจอสังหาฯปี64 ฟื้นตัว ประกาศแผนปีหน้า ขยับพอร์ตรุกตลาดแนวราบและแนวสูงระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท ชูจุดเด่นเน้นความเป็นส่วนตัว และคุณภาพของสินค้า พร้อมเปิดกว้างรับพันธมิตรร่วมทุน  ยันไม่รีบแต่งตัวเข้าตลาดฯ ปี64 เป้าเติบโต 10%
นายอภิภู พรหมโยธี
นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี      2564 ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2563 แต่คงไม่หวือหวาเท่ากับเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา  ผู้ประกอบการมีการปรับตัวได้มากจากวิกฤติโควิด-19 ทั้งในเรื่องวินัยทางการเงิน พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ดีมานด์ การปรับตัวของผู้ประกอบการให้เข้ากับลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันรายใหญ่จะไม่มีการแข่งขันที่รุนแรงมากนัก และหันไปรุกตลาดแนวราบมากขึ้น

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564  บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้คอนเซปต์หลักคือ เน้นเรื่องความ Privacy กับจำนวนยูนิตที่ไม่มาก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และคุณภาพของสินค้า (Quality) ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทฯให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยทุกโครงการจะต้องตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก ผสานฟังก์ชั่นดีไซน์ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยทำงานอายุ 35-60 ปี และกลุ่ม Successor ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง และชื่นชอบดีไซน์สวยหรูไม่ซ้ำใคร

โดยเตรียมเปิดตัวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 ล้านบาท(ลบ.) ได้แก่

1.โครงการ ณ ไอรา สายลม-อารีย์ (Na Ira Sailom-Ari) บริเวณพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) เป็น Vertical Residence ตั้งอยู่บนพื้นที่ 200 ตารางวา พัฒนาในรูปแบบของบ้าน 7 ชั้น แต่ขออนุญาตก่อสร้างและใช้งานในรูปแบบของคอนโดฯ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 400-420 ตารางเมตร ราคา 38-40 กว่าล้านบาท หรือประมาณ 90,000 บาท/ตารางเมตร  จำนวน 5 ยูนิต มูลค่าโครงการ 220 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 1/2564

2.โครงการบ้านเดี่ยว ย่านรามอินทรา-วงแหวน ตั้งอยู่บนพื้นที่  4 ไร่ครึ่ง ขนาดตั้งแต่ 65-85 ตารางวา ราคา 10-15 ล้านบาท จำนวน 18 ยูนิต มูลค่าโครงการ 280 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2/2564

3.โครงการคอนโดฯระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 25 ชั้น บริเวณซอยหลังสวน บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ราคาไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในไตรมาส 4/2564 นี้ ซึ่งโดยศักยภาพแล้วบริษัทฯสามารถพัฒนาเองได้ แต่หากมีพันธมิตรสนใจร่วมทุนบริษัทฯก็ยินดี ขณะนี้มีเข้ามาเจรจาแล้วหลายหลาย ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณา

อีกทั้งได้ วางงบสำหรับซื้อที่ดินแปลงใหม่เพื่อที่จะพัฒนาอีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท 

“ทิศทางการเติบโตในปีหน้าบริษัทฯมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น พิถีพิถันในการคัดเลือกวัสดุ รวมถึงการคัดสรรเทคโนโลยีต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้า โดยเจาะกลุ่มลูกค้า Mid to High Tier เพราะจากการสำรวจความต้องการของตลาดกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่มองหาสิ่งใหม่ๆ สะท้อนความเป็นตัวตนตามไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงมีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงปีละ 1-2 โครงการ และโครงการแนวราบปีละ 2-3 โครงการ” นายอภิภู กล่าว

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมาว่า ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจไปตามแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ ซึ่งตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปี 2563 ไว้ที่ประมาณ 500 ล้านบาท ในปี 2562 บริษัทฯ รับรู้รายได้หลักจากโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ (Na Vara Residence) ประมาณ 580 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น บนทำเลหลังสวน จำนวน 96 ยูนิต สามารถปิดการขายได้แล้ว 100%

และในปี 2563 บริษัทฯ รับรู้ยอดโอนโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์  (Na Vara Residence) และ โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ (NaVeera Phahol-Ari) รวมประมาณ 520 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น ในซอยพหลโยธิน 14 ใกล้ BTS อารีย์ จากจำนวน 78 ยูนิต สามารถปิดการขายได้ 80%

พร้อมกันนี้ยังได้ทำการเปิดตัว โครงการ ณ รีวา เจริญนคร (Na Reva Charoennakhon) ไปเมื่อช่วงต้นปี 2563 เป็นคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น จำนวนทั้งหมด 253 ยูนิต  บนทำเลเจริญนคร ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ “Paramount Corporation Berhad” บริษัทฯ อสังหาระดับ Top 10 ของประเทศมาเลเซีย มีแผนเริ่มก่อสร้างปี 2564 คาดจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ปี 2566  ซึ่งนับว่าได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบันโครงการนี้ได้รับอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (EIA Approved) อีกทั้งได้ร่วมมือกับ Dusit Hospitality Services (DHS) ในส่วนของการให้บริการกับลูกบ้านภายใต้มาตรฐานดุสิต “Guest Service Standards Trained by Dusit“

“ในปี 2563 แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่โดยรวมถือว่ากลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมยังคง ไปได้ เนื่องจากความต้องการซื้ออยู่จริงของผู้บริโภคยังคงมี (Real Demand) ผนวกกับมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯเป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้”นายอภิภู กล่าว

สำหรับแผนการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นผลบวกในความยั่งยืนของบริษัทฯ แต่ปัจจุบันต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบในการเข้าจดทะเบียนในตลาดฯแต่อย่างใด ในปี 2564 บริษัทฯตั้งเป้าเติบโต 10% จากปี 2563 หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 นี้ตั้งเป้ายอดโอนไว้ที่ 520 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มียอดโอน 580 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*