จากผลการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขาย กำไรสุทธิ อัตรากำไรสุทธิ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ของ 13 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 มีเพียงรายได้รวมที่สูงกว่าช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 โดยแสนสิริ-เอพี(ไทยแลนด์)นำโด่งมาแบบสูสี แต่รายได้ของแสนสิริฯจะไม่รวมโครงการที่ร่วมทุนกับพันธมิตร ในขณะที่รายได้รวมของเอพี(ไทยแลนด์)จะเป็นการรวมโครงการที่ร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ส่งผลให้เอพี(ไทยแลนด์)มียอดขายที่นำโด่ง ที่ 24,070 ล้านบาท แม้ว่าจะน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาก็ตาม
ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี’63 ยัง “ลดลง”
Prop2morrow.com รายงานผลการดำเนินงานบริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์งวด 9 เดือนแรก ปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ที่ทยอยประกาศออกมา พบว่า ส่วนใหญ่ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ ยังปรับตัว “ลดลง” มีบางบริษัทที่มีผลประกอบการดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ  จากทั้ง 13 บริษัท (รายละเอียดในตาราง) ดังนี้คือ

มียอดขายรวมเท่ากับ 161,399 ล้านบาท  “ลดลง” จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 173,719 ล้านบาท

มีรายได้รวมเท่ากับ 181,562 ล้านบาท “เพิ่มขึ้น” จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมีรายได้ 161,003  ล้านบาท

มีกำไรสุทธิเท่ากับ 21,668 ล้านบาท “ลดลง” จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มี กำไรสุทธิ 24,035 ล้านบาท  

มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 12% “ลดลง” จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มี อัตรากำไรสุทธิ 15%


จากผลประกอบการที่ยังลดลงของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เป็นผลมาจากวิกฤติโควิด-19 ที่ฉุดให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัว โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาช้อปอสังหาฯไทยได้ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการทุกรายพยายามโหมโปรโมชั่นชนิดจัดเต็มแบบที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ซึ่งก็สามารถดันยอดขายและยอดโอนได้ดีพอสมควร แต่เมื่อเทียบช่วง 9 เดือนกับปี 2562 แล้ว ตัวเลขยอดขาย กำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิ ก็ยังลดลง มีเพียงยอดรับรู้รายได้เท่านั้นที่ เพิ่มขึ้นมา

AP-SIRI ยอดขาย-รายได้โดดเด่น

โดยผู้ประกอบการที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ผ่านมา มี 8 บริษัท คือ บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือ AP , บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI, บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ LH ,บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI,บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC,บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE,บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN และ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ RML

ส่วนรายได้ มีเพียง 6 บริษัท ที่มีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI, บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือ AP ,บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ LH ,บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC,0020บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE และ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN

LALIN มาแรง “อัตรากำไรสุทธิ”สูงสุด

ในขณะที่พี่ใหญ่อย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH แม้กำไรสุทธิ จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 5,880 ล้านบาท แต่ก็โดดเด่นเป็นอันดับ 1 จาก 13 บริษัทอสังหาฯ โดยมีกำไรสุทธิที่  4,788 ล้านบาท

แต่บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN กลับมีอัตรากำไรสุทธิที่โดดเด่นสุดที่ 39.20% ทั้งนี้เป็นเพราะ LALIN เป็นบริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯขนาดกลาง ที่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีการโหมทำการตลาดที่หนักหน่วงเฉกเช่นเดียวกับอสังหาฯรายใหญ่ ประกอบกับโครงการที่เปิดขายเป็นแนวราบทั้งหมด ที่ปิดการขาย และโอนได้เร็วกว่า จึงทำให้มีอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่าค่ายอื่น

อย่างไรก็ตามต้องมาลุ้นต่อในไตรมาส 4/2563 ซึ่งหากในช่วงสถานการณ์ปกติ จะเป็นไตรมาสที่ผู้ประกอบการสามารถทำยอดขายและสร้างรายได้ ได้มากที่สุด แต่ในภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวอยู่ ผู้ประกอบการก็ต้องโหมจัดโปรโมชั่นอย่างแรง เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ของผู้บริโภค ก่อนที่จะหมดมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และลดค่าจดจำนอง เหลือรายการละ 0.01% ภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นี้ และต้องลุ้นกันต่อไปว่าภาครัฐจะมีการขยายมาตรการต่อไปอีกหรือไม่

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*