ไซมิส แอสเสท เตรียมเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น คาดพร้อมเทรดได้ในเดือนธ.ค.63 พร้อมรุกโครงการในรูปแบบ Branded Residence หวังสร้างรายได้ระยะยาว ปี64 จ่อผุด 2 โครงการใหม่ เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีรายได้รวม 2,060.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ  283.9 ล้านบาท
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอทเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยว่าถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2564 ว่า โครงการที่มีห้องชุดขนาดใหญ่และเพนท์เฮาส์ ยังมีแนวโน้มขายได้ดี เพราะดีมานด์ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง โดยที่อยู่อาศัยระดับราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป ยังมียอด Reject ที่ต่ำ ขณะที่ที่อยู่อาศัยราคา 2 ล้านบาทบวกลบ ยังมียอด Reject ที่สูงมาก

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ หลังจากที่ยื่นแบบแสดงรายการสินทรัพย์ (Filling)และผ่านการอนุมัติจากบอร์ดแล้ว พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและขยายขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในอนาคต ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อก้าวเป็น 1 ใน 5 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคนึกถึง

โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ  จากเดิมที่มีแผนจะขายจำนวน 320 ล้านหุ้น แต่มองว่า วัตถุประสงค์ที่นำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อปรับสภาพให้เป็นบริษัทมหาชน มีศักยภาพและแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย  โดยภายหลังเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ มีแผนนำเงินเพื่อใช้ลงทุนขยายกิจการ และนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระเงินกู้ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงิน

“หลังเข้าเทรดในตลาดฯ เรามีแผนที่จะขยายตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น พัฒนาในรูปแบบของ “Branded Residence” ที่ประกอบไปด้วยคอนโดฯและโรงแรม  และใช้เชนเข้ามาบริหาร โดยจะเป็นการซื้อที่ดินและพัฒนาเอง แต่หามีจังหวะและโอกาสในการเทกโอเวอร์ก็พร้อมที่จะเข้าซื้อกิจการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างรายได้ระยะยาว” นายขจรศิษฐ์ กล่าว

นายขจรศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ เริ่มพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence โดยนำบริการของโรงแรมชั้นนำที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ เข้ามาบริหารอาคารพักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเสมือนพักอาศัยในโรงแรม โดยร่วมมือกับเเบรนด์โรงแรมชั้นนำที่มีมาตรฐานระดับโลก เช่น Wyndham, Ramada และอยู่ระหว่างเจรจากับแบรนด์ The Crowne Plaza by IHG และ แบรนด์ Cassia by Banyan Tree ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น อีกทั้งสามารถดึงดูดนักลงทุนที่ซื้อห้องชุดเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งรูปแบบโครงการยังเอื้อประโยชน์ให้บริษัทฯ สามารถใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รุกเข้าสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส (Mixed Use) มากขึ้น โดยมีทั้งส่วนของห้องชุดพักอาศัยเพื่อขายและจัดสรรพื้นที่บางส่วนให้เช่าเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้หลายประเภทภายในโครงการเดียวและบริหารความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ  พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มธุรกิจ Food & Beverage อย่างร้านกาแฟแบรนด์ Kafeology และร้านอาหารไทย Rosemary ให้อยู่ในทุกโครงการ และในอนาคตจะมี Wellness Center เพิ่มเติมอีกด้วย

 

 

โดยแผนการดำเนินการในปี 2564 จะเน้นการพัฒนาในรูปแบบของ “Branded Residence”อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการเปิดตัวใหม่อย่างน้อย 2 โครงการคือ โครงการมิกซ์ยูส ย่านรามอินทรา กม.10 บนพื้นที่ 5 ไร่  พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯและโรงแรม ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นการซื้อโรงเรียนมัธยม ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีเลิกกิจการแล้วมารีโนเวทใหม่ เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดฯ ระดับราคาประมาณ 70,000-80,000 บาท/ตารางเมตร และโรงแรม โดยใช้เชนมืออาชีพเข้ามาบริหาร ปัจจุบันได้วางเงินมัดจำไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“หลังวิกฤติโควิด-19 มีหลายธุรกิจประกาศขายกิจการเป็นจำนวนมาก โดยราคาตกลงมาประมาณ 20-30% แต่เราจะเน้นซื้อสินทรัพย์ที่ไม่ภาระ ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่ซื้อมาแล้วรีโนเวทใหม่ ซึ่งราคาที่จะนำกลับมาขายใหม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของแต่ละโครงการด้วย” นายขจรศิษฐ์ กล่าว

นอกจากนี้ที่ผ่านมาบริษัทฯยังได้เทกโอเวอร์โครงการ “Above 39” ในซอยสุขุมวิท39 มาในราคากว่า 60,000 บาท/ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จำนวน 40 ห้อง มารีโนเวทใหม่ เป็นโรงแรม จำนวน 80 ห้อง และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 240 ห้อง โดยใช้งบในการรีโนเวทประมาณ 400-500 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565

ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการที่อยู่ในระหว่างเปิดขายอยู่ 13 โครงการ รวมมูลค่า 31,759 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่ CBD สัดส่วน 44%  ,พื้นที่New CBD สัดส่วน 36% และพื้นที่ Out Fringe สัดส่วน 20%  ทั้งนี้ในจำนวน 13 โครงการดังกล่าวมีสต๊อกคงค้าง รอการขาย คิดเป็นมูลค่า 22,313 ล้านบาท และมี Backlog ที่จะรับรู้รายได้ มูลค่า 9,446 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไซมิสฯ ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ประเภทแนวราบ และแนวสูงครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 ประเภท  ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ภายใต้ แบรนด์ The Collection, Siamese Exclusive, Siamese Gioia, Siamese, และ Blossom

2.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า โดยจัดสรรพื้นที่ในโครงการหรือห้องชุดที่มีอยู่มาเป็นพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์

3.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการบริการ โดยพัฒนาอาคารในโครงการหรือห้องชุดที่มีอยู่ในโครงการมาให้บริการในลักษณะโรงแรมหรือเซอร์วิส เรสซิเดนซ์ นอกจากนี้ ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น การบริหารนิติบุคคลอาคารชุด, นายหน้าจัดหาผู้เช่าห้องชุด เป็นต้น

“ไซมิส แอทเสท เป็นบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราต้องมีความยืดหยุ่น ดำเนินธุรกิจได้ดีทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและช่วงที่ตลาดชะลอตัว ซึ่งเราได้เริ่มธุรกิจ Branded Residence โดยได้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม (Hotel License) และให้ลูกบ้านเซ็นยินยอมการพักอาศัยแบบโรงแรมตั้งแต่แรก ทำให้เราสามารถเติบโตได้แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19” นายขจรศิษฐ์ กล่าว

นายสุรวัฒน์ สุวรรณยั่งยืน

นายสุรวัฒน์ สุวรรณยั่งยืน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชี  SA กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้วกว่า 20 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 16 โครงการ บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 46,000 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 6 โครงการ อยู่ระหว่างการขายและอยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 โครงการ อยู่ระหว่างการขายและรอการพัฒนา 3 โครงการ และมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและขาย 1 โครงการ เช่น คอนโดมิเนียม Siamese Exclusive 31, คอนโดมิเนียม Blossom Condo @ Sathorn-Charoenrat เป็นต้น  ปัจจุบันมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2563 เป็นต้นไป

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 2,060.6 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์ และมีกำไรสุทธิ  283.9 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ สามารถปรับราคาขายห้องชุดในบางโครงการสูงขึ้นได้ และบริหารจัดการต้นทุนก่อสร้างของโครงการใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคการออกแบบและการก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน บริหารพื้นที่โครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยภายหลังเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ มีแผนนำเงินเพื่อใช้ลงทุนขยายกิจการ และนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระเงินกู้ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงิน

นายเล็ก สิขรวิทย

ด้านนายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ของ SA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง   มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 961,547,300 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ  961,547,300 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท และจะเสนอขายหุ้ IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ  ภายหลังการเสนอขาย IPO ครั้งนี้ ซึ่งจะเท่ากับ 1,111,547,300 หุ้น คิดเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 1,111,547,300 บาท  โดยบริษัทฯ เตรียมจัดโรดโชว์แนะนำธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และแผนขยายการลงทุนให้กับนักลงทุน ในวันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563 นี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำ SA จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในเดือนธันวาคม 2563 นี้

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*