ลลิลฯเผยวิกฤติโควิด-19 ยังกระทบภาพรวมตลาดแนวราบปี 63 ติดลบ 10% คาดไตรมาส 4/63 จะฟื้นตัว ผู้ประกอบการแห่นำโครงการอัดแคมเปญโค้งสุดท้าย แนะผู้บริโภครีบฉวยจังหวะซื้อ จับตารอดูสถานการณ์หวังเปิดตัวโครงการใหม่ตามเป้า ล่าสุดเตรียมพรีเซลเฟสต่อเนื่องลลิล ทาวน์  ไลโอ บลิสซ์ รัตนาธิเบศร์บางใหญ่”-“ไลโอ บลิสซ์ วงแหวนปิ่นเกล้า (พระราม 5)”มั่นใจยอดขายรายได้ตามเป้า โต 14-15%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือLALIN เปิดเผยว่า หลังจากวิกฤติโควิด-19 ผ่านมาพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยผู้ที่เคยอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมจะมีความต้องการพื้นที่ใช้สอยในการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นจึงหันมาซื้อโครงการแนวราบมากขึ้น แต่โดยภาพรวมตลาดแนวราบปี 2563 ก็ยังติดลบประมาณ 10% ใกล้เคียงกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มองว่าจะติดลบ 7-8% เพราะภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนปัจจุบันถือว่ายังไม่เห็นภาพที่ฟื้นกลับมาชัดเจน หลังข้อมูลจดทะเบียนที่อยู่อาศัยใหม่จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) พบว่าในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ยังติดลบ 10% สะท้อนภาพการชะลอตัวของตลาดอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในไตรมาส 4/2563 นี้ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น จากเรียลดีมานด์ในตลาดที่ยังมีอยู่ ประกอบกับเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการยังมีการจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อหาที่อยู่อาศัย

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้เดิมตั้งเป้าจะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 9-11 โครงการรวมมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 7 โครงการ รวมมูลค่า 5,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล ส่วนระยะเวลาที่เหลืออีกประมาณ 2 เดือน จะเปิดตัว 2-4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ได้ครบตามเป้าหรือไม่นั้น คงต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนตลาดต่างจังหวัดในขณะนี้ คงต้องชะลอตัวไปก่อน เพราะส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corrido : EEC) ที่หลายอุตสาหกรรมในหลายนิคมอุตสาหกรรมต่างได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น ทำให้กำลังการผลิตชะลอตัว ขณะเดียวกันก็ไม่มีการเปิดตัวอุตสาหกรรมใหม่แต่อย่างใด ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัวไปด้วย

ขณะนี้การแข่งขันของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไนตลาดถือว่ายังรุนแรง จากการลดราคาขายโครงการที่เป็นสต๊อกและโครงการที่กำลังสร้างเสร็จเตรียมโอน ทำให้การขายโครงการเปิดตัวใหม่อาจจะได้รับผลกระทบด้านยอดขายไปบ้าง ประกอบกับกลุ่มลูกค้าบางอาชีพในบางจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นกลุ่มที่เข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น ทำให้บริษัทยังรอดูสถานการณ์ของตลาดอีกครั้ง ในการพิจารณาจะเปิดอีก 2-4 โครงการที่เหลือในปีนี้นายชูรัชฏ์กล่าว

ล่าสุดได้เตรียมเปิดเฟสต่อเนื่อง 2 โครงการ( จาก 7 โครงการที่เปิดตัวในปี 2563) คือ

1.โครงการลลิล ทาวน์  ไลโอ บลิสซ์ รัตนาธิเบศร์บางใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 41 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ขนาด 17.5-21.4 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 1.79-2.5 ล้านบาท จำนวน 457 ยูนิต มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท

2.โครงการไลโอ บลิสซ์ วงแหวนปิ่นเกล้า (พระราม 5) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 24 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ขนาด 17.5-21.4 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 1.89-2.2 ล้านบาท จำนวน 283 ยูนิตมูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท

ซึ่งทั้ง 2 โครงการ เปิดให้จองภายในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2563 นี้ โดยลูกค้าที่จองในช่วงดังกล่าวจะได้รับโปรโมชั่นอยู่ฟรี แถมเฟอร์นิเจอร์ และไอโฟน 12 สำหรับลูกค้าที่กู้ได้ 100%

ซัพพลายที่อยู่อาศัยย่านนนทบุรี ทั้งแนวราบและแนวสูง ย้อนหลังไป 3 ปี มีจำนวนประมาณ18,000-20,000 ยูนิต โดยเป็นโครงการแนวราบประมาณ 50% แต่หลังจากที่เจอวิกฤติโควิด-19 และเรื่องผังเมืองใหม่ของนนทบุรีไป ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มียอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูง เพียง 10,000 ยูนิต ด้นราคาที่ดินยังคงทรงตัว โดยเฉพาะทำเลบางใหญ่ ราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทบวกลบ/ไร่นายชูรัชฏ์ กล่าว

ด้านการกู้สินเชื่อของลูกค้ายอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 26-30% จากเดิมที่ 18-20% หลังจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบต่อภาคธุรกิจและรายได้ของคนที่ลดลง และสถาบันการเงินต่างระมัดระวังการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้นทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ แต่บริษัทก็ได้มีการให้คำปรึกษากับลูกค้าในการเตรียมตัว เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถกู้ซื้อบ้านได้ แต่มองว่าปัจจัยดังกล่าวยังไม่เป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อยอดโอนของบริษัท เพราะยังมีลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการต่อเนื่อง หากลูกค้าบางรายไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้

อย่างไรก็ตามในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำยอดขายได้แล้วประมาณ 5,300 ล้านบาท จากทั้งปีที่ตั้งเป้าไว้ที่ 6,200 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ คิดเป็นอัตราการเติบโตจากปี 2562 ประมาณ 14-15%

ขณะที่ยอดโอนของบริษัทในปี 2563 ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5,250 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 1,200 ล้านบาท เข้ามาเสริม ช่วยผลักดันยอดโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ แต่ในภาพรวมของผลงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ถือว่ายังทำได้ดีและยังเห็นทิศทางการเติบโตขึ้น ซึ่งมาจากการโอนโครงการแนวราบเป็นหลัก ที่ลูกค้าให้ความสนใจและมีการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมาอย่างต่อเนื่อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*