แองเจิลฯหนุนรัฐไฟเขียวให้สิทธิวีซ่าพิเศษต่างชาติเที่ยวไทยนาน 9 เดือน ช่วยกระตุ้นรีบโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเร็วขึ้น เผยก.ค.-ส.ค.เศรษฐีจีน ฮ่องกง ไต้หวัน แห่ซื้อคอนโดฯ Prime Area -ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านพอร์ตของแองเจิลฯหลายร้อยกว่าล้านบาท ล่าสุดปรับกลยุทธ์ดึงลูกค้าหลากอุตสาหกรรมขยายฐานผลิตไทย เผยโบรกเกอร์ทั่วโลกเจอพิษโควิด-19 สูญหายไปกว่า 50%
นายไซม่อน ลี
นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท  คอนซัลแทนซี่ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายชั้นนำของประเทศไทย โดยเฉพาะโควตาต่างประเทศ (Foreign Quota) เปิดเผยว่า มีความคิดที่จะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยให้สิทธิต่างชาติในการเข้ามาพำนักประเทศไทยนานขึ้น ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้อนุมัติในเรื่องการถือครองวีซ่าพิเศษเที่ยวในประเทศไทยได้นาน 9 เดือน ซึ่งตรงนี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าต่างชาติ ที่ได้วางดาวน์โครงการคอนโดมิเนียมก่อนหน้านี้  ตัดสินใจรีบมาดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้แล้วเสร็จ หลังจากช่วงปิดประเทศ (ล็อกดาวน์) ไม่สามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้

“กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ต้องการได้พาสปอร์ต เป็นตลาดที่ใหญ่มาก เช่น ประเทศอังกฤษ จะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มาลงทุนหรือซื้ออสังหาฯวงเงิน 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประเทศตุรกี ผู้ที่เข้ามาลงทุนตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐฯ จะได้สัญชาติตุรกีและถือพาสปอร์ต เพื่อเดินทางไปสหรัฐฯและกลุ่มประเทศยุโรปได้  ในส่วนของประเทศไทย หากกำหนดวงเงินลงทุน 5 ถึง 10 ล้านบาท มีระยะเวลาการถือพาสปอร์ตได้ประมาณ  5 ถึง 10 ปี จะกระตุ้นให้ตลาดคอนโดฯได้รับความนิยมและขยายตัวมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงผลที่มีต่อลูกค้าต่างชาติได้ แต่ความเห็นส่วนตัวแล้ว  มองมาตรการของภาครัฐเป็นเชิงบวก” นายไซม่อน กล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวของนักลงทุนที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย พบว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเศรษฐีจากประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มีความต้องการซื้อลงทุนอสังหาฯในไทยในลักษณะซื้อยกชั้นคอนโดมิเนียม เพื่อให้ได้รับส่วนลดประมาณ 35-40 % โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวได้เข้ามาซื้อผ่านพอร์ตของแองเจิลฯหลายร้อยกว่าล้านบาท เน้นคอนโดฯที่อยู่ในทำเล Prime Area หรือโครงการติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งห้องชุดที่มีอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง จะมีซัพพลายคงเหลือในตลาดในจำนวนไม่มาก

ทั้งนี้ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย (โบรกเกอร์) ได้มีการปรับตัวค่อนข้างมาก หลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 บริษัทโบรกเกอร์ต่างชาติที่อยู่ทั่วโลก ปิดกิจการไปประมาณ50%  ในส่วนของประเทศไทย โบรกเกอร์ที่เคยมีอยู่ประมาณ 100-200 ราย ปัจจุบันคงเหลือรายใหญ่ในตลาดไม่กี่ราย  ซึ่งมีผลให้การแข่งขันในตลาดไม่รุนแรง

“โบรกเกอร์ในไทย ได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีที่ผ่านมา ซ้ำเกิดโควิด-19 ส่งผลให้หลายแห่งต้องเปลี่ยนธุรกิจใหม่ ปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ไม่เน้นการทำตลาดกับต่างประเทศมากนัก ลดขนาดธุรกิจลง เปลี่ยนวิธีการทำงานมาบริการลูกค้ามากขึ้น บริหารการเช่าให้กับลูกค้า เพื่อให้เกิดความประทับใจในการบริการ และกลับมาซื้อสินค้ากับบริษัทอีกครั้ง รวมถึงการทำตลาดออนไลน์ ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการควรมาพิจารณาในเรื่องการปรับลดราคาลง จูงใจลูกค้าให้ตัดสินใจเร็วขึ้น ซึ่งประเทศอื่นๆ ก็มีปัญหาเหมือนไทย พยายามดึงผู้ซื้อเข้าประเทศให้มากที่สุด หากผู้ประกอบการไทยยังไม่ตื่น ก็คงลำบาก”นายไซม่อน กล่าว

โดยในส่วนของแองเจิลฯ ได้เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนยังน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดหลักในกลุ่มโควตาต่างชาติ ซึ่งโครงการที่บริษัทจะขยายไป จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อรองรับตลาดการปล่อยเช่าให้กับลูกค้าคนไทยและต่างชาติ คาดว่าในปี 2564 พอร์ตโควตาไทยจะมีมูลค่าเฉลี่ย 500 ล้านบาท

ในส่วนของผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายหลักพันล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 3,600 ห้อง มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากหลายโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้  (ปี 2562 มียอดขาย 10,000 ล้านบาท ปี 2561มียอดขาย. 20,000 ล้านบาท)

สำหรับความคืบหน้าในธุรกิจใหม่ ได้ปรับกลยุทธ์มาเจาะกลุ่มฐานลูกค้าอุตสาหกรรมต่างๆให้ย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทยนั้น ล่าสุดวันอังคารที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมหารือทางธุรกิจผ่าน Video Conference ระหว่างภาคเอกชนรายใหญ่ของไทยกับทางผู้ประกอบการโรงงานไต้หวันกว่า 40โรงงานขนาดใหญ่ เข้าร่วมการประชุม กับทางผู้ประกอบการของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA , บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA , บริษัทเจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK ,Yamoto และบริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

“เรื่องเทรดวอร์ เป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้อุตสาหกรรม ที่อยู่ในประเทศที่เป็นคู่กรณี ต้องปรับตัว ส่วนการเจรจาจะสำเร็จถึงระดับไหน คงต้องใช้เวลา เนื่อง จากการย้ายฐานอุตสาหกรรมต้องใช้เวลานาน แต่หากมีการลงทุนเกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย เฉพาะการซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงาน มีมูลค่าหลายพันล้านบาท หากนับรวมตัวโรงงาน เครื่องจักรและอื่นๆแล้ว จะมีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท ที่สำคัญจะเกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่าหลายพันคนต่อโรงงาน สิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องมองเห็นโอกาส ต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น ลดภาษีเครื่องจักร , ภาษีนิติบุคคล ,เรื่องแรงงาน ,ระบบสาธารณูปโภคและเสถียร ภาพของรัฐบาล เพื่อให้มีความได้เปรียบและสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้”.นายไซม่อน กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*