คันทรี่ กรุ๊ป ประกาศชะลอผุดโครงการใหม่ทั้งใน-ต่างประเทศ รอสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย  เดินหน้าลุย “เจ้าพระยา เอสเตท”ให้ลุล่วง ล่าสุดคอนโดฯยอดขายพุ่งแล้ว 70% คาดยูนิตเหลือขายจะดันราคาเริ่มต้นขึ้นไปที่  320,000 บาท/ตารางเมตร ส่วน 2 โรงแรมหรูคาเพลลา-โฟร์ซีซั่นส์ พร้อมเปิดให้บริการ ต.ค.-พ.ย.63 นี้
นายเบน เตชะอุบล
นายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ CGD เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีความระมัดระวังในเรื่องแผนการลงทุนโครงการใหม่มากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมของบริษัทฯ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสย่านพระราม 3 ซึ่งประกอบด้วยคอนโดฯและโรงเรียนนานาชาติ Concadia ซึ่งเป็นหลักสูตรจากสหรัฐอเมริกา ได้ถูกเลื่อนออกไปก่อน จากแผนเดิมที่จะต้องดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติก่อนในปลายปี 2563 นี้   เช่นเดียวกับที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนการพัฒนาโครงการที่ชัดเจนออกมา ซึ่งยังต้องรอดูว่าโควิด-19 จะคลี่คลายลงชัดเจนเมื่อไหร่ และภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาชัดเจนได้ช่วงไหน

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศบริษัทยังไม่มีการลงทุนใหม่เช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศเหลือเพียงสถานศึกษา ในเมืองไบรตัน ประเทศอังกฤษ ส่วนโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ในอังกฤษ ได้ขายเข้ากองทุนไปแล้ว ทำให้รายได้จากต่างประเทศจะมีเพียงรายได้จากสถานศึกษาในอังกฤษเข้ามาเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เจ้าพระยา เอสเตท” ซึ่งได้สิทธิ์เช่าจัดหาประโยชน์ระยะยาว 75 ปี ( ครั้งละ 25 ปี 3 ครั้ง) จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2549 (เดิมเป็นที่ตั้งขององค์การสะพานปลา) ตั้งอยู่บนที่ดิน 35 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบโรงการมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการรวม 32,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

-คอนโดโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สูง 73 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 105-1,000 ตารางเมตร  ราคา 45-400 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 250,000-570,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 366 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70%  คิดเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ประมาณกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนครบทั้งหมดไปถึงต้นปี 2564 ปัจจุบันมียอดโอนไปมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวเป็นลูกค้าคนไทยสัดส่วน 36% และต่างชาติ 64% (14 ประเทศ) โดยเป็นฮ่องกง 28% ,จีน 11% ,สิงคโปร์ 7% ,ไต้หวัน 7% และสหรัฐ 5% ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ

ส่วนห้องพักที่เหลืออีกมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นห้องของผังอาคารในทำเลพรีเมียม มีประเภทห้องพักที่หลากหลายตั้งแต่ 1-5 ห้องนอน และห้องเพนท์เฮาส์ ซึ่งคาดว่ายังมีความต้องการซื้อของลูกค้าเข้ามาเพิ่มขึ้นเมื่อห้องที่ยังไม่เปิดขายตกแต่งแล้วเสร็จ และสามารถผลักดันราคาขายเริ่มต้นเพิ่มขึ้นไปที่ 320,000 บาท/ตารางเมตร จากราคาขายเฉลี่ยของโครงการในปัจจุบันที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร จากราคาขายช่วงเปิดตัว 270,000 บาท/ตารางเมตร

-โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  จำนวน 299 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 50-300 ตารางเมตร ราคา 10,000-400,000 บาท/คืน  ปัจจุบันมียอด Booking จากลูกค้าคนไทยและต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยแล้วประมาณ 10% โดยที่ผ่านมาได้เริ่มเปิดให้บริการในส่วนของการจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ รวมถึงการประชุมกรุ๊ปไพรเวท ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้

-โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ สูง 10 ชั้น จำนวน 101 ห้อง ราคาตั้งแต่ 17,500-250,000 บาท/คืน ปัจจุบันมียอด Booking จากลูกค้าคนไทยและต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยแล้วประมาณ 5% โดยกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 1 ตุลาคม 2563

โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา และเดิมมีแผนจะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2563 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวโรงแรมทั้ง 2 แห่งมาเป็นในช่วงไตรมาส 4/2563  และแม้ว่าโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ยังไม่เปิดให้บริการ แต่ยังมีลูกค้าเข้ามาจองจัดงานเลี้ยงล่วงหน้าแล้วประมาณ 50 งาน ซึ่งสามารถช่วยเข้ามาสนับสนุนรายได้ของทั้ง 2 โรงแรมได้  และเชื่อว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง การท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ทำให้ยอดการเข้าพักในโรงแรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“โครงการนี้เริ่มดำเนินการมาประมาณ 10 ปี โดยใช้ระยะเวลาในการเคลียร์พื้นที่ประมาณ 4 ปีครึ่ง และก่อสร้าง 5 ปีครึ่ง  ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายพอสมควร แต่เป็นโครงการสำคัญของธุรกิจอสังหาฯและภาคท่องเที่ยวของไทย ที่จะเป็นจุดเด่นให้กับโครงการ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และถือเป็นโครงการโฟร์ซีซันส์ที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากเดิมที่อยู่ในนิวยอร์ค”นายเบน กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่ามีแนวโน้มจะพลิกกลับมามีกำไร และคาดว่าหลังจากที่รับรู้รายได้จาก Backlog ในส่วนที่ลูกค้าซื้อ 70% ไปครบทั้งหมดแล้วกว่า 12,000 ล้านบาท บริษัทฯคาดว่าจะนำเงินดังกล่าวไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการดังกล่าว  11,000 ล้านบาท ทำให้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทลดลง และบริษัทมีหนี้สินลดลงจากปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินรวมประมาณ 30,000ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*