เครือแสนสิริ มุ่งยกระดับนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยพร้อมต่อยอดโอกาสของวงการPropTech ไทย เปิดตัว 3 สตาร์ทอัพหน้าใหม่ จาก The Founder โปรเจกต์ปั้นพนักงานสู่สตาร์ทอัพรุ่นที่ 1 หวังเป็นบริการเสริม ยกระดับประสบการณ์นักลงทุน-ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ เผยเพียง 8 เดือน สร้างรายได้รวมเกือบ 20 ล้านบาทพร้อมเดินหน้าระดมหานักลงทุนเพื่อขยายตลาด และสร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจอสังหาฯ ไทย
นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์
นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัดในเครือบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยว่าหลังจากที่ดำเนินการเฟ้นหากลุ่มพนักงานแสนสิริที่มี Passion ในการคิดค้นนวัตกรรม และมุ่งก้าวเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ของวงการอสังหาฯ ไทย THE FOUNDER รุ่นที่ 1 ซึ่งมีทีมผู้ผ่านเข้ารอบและได้รับเงินทุนสนับสนุนเริ่มต้นทำธุรกิจ (Grant Funding) จากแสนสิริ ทีมละ 3 ล้านบาท จำนวน 3 ทีม ได้แก่
-Juzmatch แพลตฟอร์มการซื้อขายรูปแบบ Rent-to-Buy รายแรกของไทย

-Zthegarden แพลตฟอร์มมอบบริการจัดสวนและดูแลแบบ One-Stop-Service

 

-Home Station 39 โซลูชั่นต่อเติมที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร เทียบท่ากับการมอบชุดแต่งแท้จาก Developer

ทั้งนี้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯได้คัดเลือกสตาร์ทอัพจาก 30 กว่าทีม จนเหลือเพียง 3 ทีมเพื่อต้องการให้มาช่วยอำนวยความสะดวก และปลอดภัยให้กับลูกบ้านของแสนสิริได้มากขึ้น

เราได้วาง 3 ธุรกิจให้เข้ามาเป็นเป็นบริการเสริมของแสนสิริ เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าของแสนสิริที่แตกต่างและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ที่ทั้ง 3 ทีมได้ผันตัวจากพนักงานก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพอย่างเต็มตัว ลงสนามจริงในการประกอบธุรกิจที่สร้างสรรค์ขึ้นจากการเล็งเห็นโอกาสในธุรกิจอสังหาฯ และความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง พร้อมสร้างรายได้รวมไปแล้วเกือบ 20 ล้านบาทนายจิรพัฒน์ กล่าว
โดย JUZMATCH เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายในรูปแบบ Rent-to-Buy รายแรกของไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยโมเดลการเช่าซื้อ (Rent-to-Buy) ที่ง่ายเหมือนการเช่าและได้สิทธิ์เหมือนการซื้อโดยยังไม่ต้องกู้ธนาคาร ทำให้การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ต้องการเป็นจริงได้ง่ายขึ้น ก้าวข้ามข้อจำกัดของรายได้และปัญหาเครดิต Juzmatch จะให้บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาผู้ซื้อในการวางแผน เพื่อเปลี่ยนจากการเช่าซื้อเป็นกู้ธนาคารในอนาคต ขณะเดียวกัน มุ่งช่วยนักลงทุนอสังหาฯ จัดหาผู้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นผู้เช่าระยะยาว และมีโอกาสที่จะซื้อในอนาคต ทำให้นักลงทุนไม่ต้องยุ่งยากกับการหาผู้เช่า และการขายต่อในอนาคต ซึ่งสามารถทำให้จบได้ภายในดีลเดียวนอกจากนั้น Juzmatch ยังทำให้บุคคลทั่วไปลงทุนในอสังหาฯ ง่ายขึ้น ด้วยการลงทุนในอสังหาฯ พร้อมผู้เช่าซื้อ ที่ช่วยลดความเสี่ยงและความยุ่งยากของการลงทุนอสังหาฯแบบปกติ

 

ซึ่งการให้บริการดังกล่าวถือว่าเป็นรูปแบบใหม่สำหรับลูกค้า ที่ยังคงต้องใช่เวลาในการปรับตัว เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจโมเดลธุรกิจ และลดความยุ่งยากได้มากขึ้น ซึ่งในช่วงแรกนี้จะเน้นลูกค้าในประเทศก่อน โดยเฉพาะลูกค้าของแสนสิริเป็นหลัก และแม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีคู่แข่งที่ดำเนินในรูปแบบ ที่คล้าย JUZMATCH แต่ก็ยังมีความมั่นใจในจุดอข็งของตนเอง และแสนสิริที่เป็นผู้ให้การสนับสนุน

ปัจจุบัน JUZMATCH สามารถปิดดีลไปได้แล้ว 4 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 14 ล้านบาท จากสต๊อกในมือทั้งหมด 180 ยูนิต จาก 95 โครงการ  ได้แก่  โครงการเดอะ เบสการ์เดนพระราม 9”(The Base Garden – Rama 9) จำนวน 2 ยูนิต, “เดอะ ไลน์ พหลฯประดิพัทธ์”(The LINE Phahon-Pradipat) จำนวน 1 ยูนิต และดีคอนโด รามคำแหง”(D Condo Ramkhamhaeng) จำนวน 1 ยูนิต

โดยตั้งเป้าปิดดีลในปีนี้ทั้งสิ้น 30 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 90 ล้านบาท และในปี 2564 ตั้งเป้าไว้ที่ 250 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 750 ล้านบาท และในระยะยาวยังมีแผนให้นักลงทุนหลายรายสามารถถือครองห้องชุด 1 ยูนิตร่วมกันได้ เพื่อที่จะสามารถประหยัดเงินลงทุน และสามารถเป็นเจ้าของห้องชุดได้ง่าย แต่ทั้งนี้ต้องรอกฎหมายเปิดกว้างกว่านี้ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศก็เริ่มดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวกันมากแล้ว

 สำหรับ Zthegarden เป็นแพลตฟอร์มมอบบริการจัดสวนและดูแลด้านภูมิทัศน์แบบOne-Stop-Service เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อความต้องการในการจัดสวนกับเจ้าของสินค้าและบริการในการจัดสวนเข้าด้วยกัน รวมถึงให้คำปรึกษา ออกแบบและก่อสร้างครบวงจร ไปจนถึงจัดหาของตกแต่ง พร้อมบริการดูแลรักษาสวนสวย ให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เหมาะกับสภาพแวดล้อม และบำรุงรักษาง่าย ในสไตล์ที่เป็นตัวตนของลูกค้าโดยทีมงานมืออาชีพของ ZtheGarden ที่มีประสบการณ์การออกแบบด้านภูมิทัศน์ให้กับโครงการ 98 Wireless, เดอะไลน์ พหลโยธินประดิพัทธ์ และอีกกว่า 20 โครงการของแสนสิริ

โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ลูกค้าหันมาใช้บริการของ ZtheGarden ดีเกินคาด ทำให้หาเจ้าของสินค้าให้ลูกค้าแทบไม่ทัน เนื่องจากยังมีเจ้าของสินค้าที่ดีลงานผ่าน ZtheGarden เพียง 20 ราย แต่ที่ผ่านมาก็สามารถแก้ไขปัญหาผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งทั้งปีนี้คาดว่าจะมีเจ้าของสินค้าดีลงานกับ ZtheGarden ทั้งสิ้น 50 ราย พร้อมกับสร้างแบรนด์ ZtheGarden ให้เป็นที่รับรู้ด้วยการออกบู๊ธเพื่อให้ลูกค้าแสนสิริ ได้เข้าถึงทีมได้มากขึ้นและจัดโปรโมชั่น 1-2 ครั้ง/เดือน โดยเริ่มจากแบรนด์เศรษฐสิริ และบุราสิริ ที่เพิ่งเปิดขาย จำนวน 8 โครงการซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้รูปแบบ ZtheGarden  ในประเทศไทย ถือว่ายังไม่มีคู่แข่ง ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจขยายไปยังตลาดต่างประเทศด้วยเช่น แต่ต้องศึกษาข้อมูลก่อนว่าการนำเข้าส่งออกสินค้า จะมีผลด้านกฎหมายหรือไม่

อย่างไรก็ตามภายในระยะ 2-3 ปีนี้ ทีม ZtheGarden มีแผนที่จะขยายการรับงานไปยังลูกค้าภายนอกมากขึ้น โดยจะสามารถดีลงานได่ 338 ยูนิต และภายใน 3-5 ปี คาดว่าจะดีลงานได้จำนวน 5,300 ยูนิต จากทั้งหมด 25,000 ยูนิต คิดเป็นอัตราการเติบโต 3% โดยในปี 2363 คาดว่าจะรับรู้รายได้ที่ 12 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ซึ่งขณะนี้มีรายได้แล้ว 8-10 ล้านบาท

และ Home Station 39 โซลูชั่นต่อเติมที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร เทียบท่ากับการมอบชุดแต่งแท้จาก Developer กับทีมสถาปนิกและทีมวิศวกรมากประสบการณ์ และมีความเข้าใจโครงสร้างบ้านเป็นอย่างดี การันตีคุณภาพการก่อสร้างรวดเร็ว แข็งแรงปลอดภัย ตรงตามมาตรฐานในรูปแบบ Prefabrication (การผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้นให้สำเร็จก่อนจะนำมาประกอบกันที่หน้างาน) โดยไม่สูญเสียประกันที่อยู่อาศัยเนื่องจากการต่อเติม หมดปัญหาหาผู้รับเหมาได้ยาก หรือผู้รับเหมาทิ้งงาน, ราคาแพง, รูปแบบการต่อเติมที่ไม่ถูกใจและใช้เวลาการทำงานมากกว่าที่ตกลง ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าทั่วไปได้ติดต่อใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นแล้ว 4-5 ราย และสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จไป 3 ราย โดยลูกค้าแต่ละราย ทีม Home Station 39 จะใช้ระยะเวลาในการต่อเติมประมาณ 1-7 วัน โดยลูกค้าจะใช้งบประมาณ 40,000-50,000 บาท/ราย

ทั้งนี้ทีม  Home Station 39 ยอมรับว่าค่อนข้างประสบปัญหาเรื่องคู่แข่งทางธุรกิจที่มีค่อนข้างมาก ดังนั้นสินค้าที่นำเสนอต้องมีจุดแข็งที่แตกต่าง และมีความพิเศษ แต่ที่ผ่านมาก็ถูกลอกเลียนแบบไปมาก ประกอบกับไม่มีความเชี่ยวชาญในการหาลูกค้า และพยายามรุกสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกช่องทาง

โดยคาดว่าในปี 2563 จะมีรายได้ประมาณ 1 ล้านบาทและในปี 2564 Home Station 39 ตั้งเป้าจะมีรายได้ 9 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดที่ 20% จากโครงการทั่วไปและของแสนสิริ

นอกจากการนำทั้ง 3 ธุรกิจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการมอบบริการเสริมให้กับลูกค้าของแสนสิริแล้ว เรามุ่งมั่นผลักดัน 3 สตาร์ทอัพ เสมือนเมล็ดพันธุ์คุณภาพจากทรัพยากรบุคคลของแสนสิริที่ทำงานและคลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ โดยตรง ให้สามารถเติบโตและดำเนินธุรกิจได้จริง และช่วยหาฐานลูกค้า รวมทั้งระดมหานักลงทุนเพื่อขยายตลาด และปลดล็อกความท้าทาย รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจอสังหาฯไทย และจากความสำเร็จของ THE FOUNDER รุ่นที่ 1 ปัจจุบัน เราได้เริ่มรับสมัครรุ่นที่2 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำและสานต่อความตั้งใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยในทุกมิตินายจิรพัฒน์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*