โนเบิลฯมั่นใจตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง63 ยังไม่ฟื้นตัว ผู้ประกอบการยังแข่งขันรุนแรง หวังเร่งระบายสต๊อกดึงกระแสเงินสดเพิ่มสภาพคล่อง ยันไม่มีนโยบายซื้อกิจการอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ แย้มแผนปี64 ปรับรุกแนวราบเพิ่ม 25% คาดคอนโดฯร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ ย่านวิทยุ ราคาเริ่มต้นอาจแตะ 300,000 บาท/ตารางเมตร มั่นใจรายได้รวมตามเป้า 10,000 ล้านบาท
นายธงชัย บุศราพันธ์
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ NOBLE  เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ว่า ตลาดจะค่อนๆฟื้นขึ้นกลับมา แต่ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างชัดเจน  เพราะสภาวะเศรษฐกิจยังไม่กลับมาดีขึ้นอย่างชัดเจน และกำลังซื้อยังคงชะลอตัว ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ยังมองว่าก็ยังสามารถทำการขายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยอดขายของตลาดจะไม่ได้หวือหวามาก เหมือนเช่นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่การแข่งขันของผู้ประกอบการยังเห็นการแข่งขันที่รุนแรง โดยเพาะการเดินหน้าระบายสต๊อกของผู้ประกอบการที่ยังคงเห็นการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการกระแสเงินสดเข้ามาเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ  แต่การเปิดโครงการใหม่จะยังไม่กลับบมาคึกคัก จากสภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19

สำหรับการเข้าซื้อกิจการตามกระแสข่าวที่ออกมาว่าบริษัทจะเข้าซื้อบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และไม่มีแผนการซื้อกิจการจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใด ซึ่งยังคงเน้นไปที่การลงทุนขยายธุรกิจเอง และการร่วมทุนกับพันธมิตรเท่านั้น

นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2564 บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบเข้ามาเสริม เพื่อกระจายพอร์ตโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบ เป็น 25% จากปัจจุบันโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายเพียง 1 โครงการ คือ Noble Gable วัชรพล มูลค่าโครงการ 500-600 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 2563 ที่ผ่านมาบริษัทได้ซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการแนวราบเข้ามาแล้ว 3-4 แปลง และมีที่ดินส่วนหนึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบในปีหน้า

โดยการลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2564 จะมีทั้งโครงการที่บริษัทพัฒนาเองจากที่ดินที่บริษัทได้ซื้อเข้ามาเพิ่ม และมีบางโครงการจะเป็นที่ดินที่ร่วมลงทุนกับพันธมิตร ซึ่งอาจจะเป็นที่ดินของพันธมิตรที่สนใจพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุน และรูปแบบการพัฒนาโครงการแนวราบจะเป็นทั้งการพัฒนาโครงการแนวราบอย่างเดียว และมีบางโครงกาจะพัฒนาในพื้นที่เดียวกับคอนโดฯโลว์ไรส์

ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดฯในปีหน้า ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยจะหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า  5 ล้านบาทมากขึ้น ผ่านการพัฒนาภายใต้แบรนด์ NUE เพราะบริษัทเห็นถึงความต้องการของตลาดของผู้ซื้อที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุนในระดับราคาที่ไม่สูงมากเกินไป และใกล้รถไฟฟ้า และจากที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายแบรนด์ NUE ไปแล้วจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ NUE Noble งามวงศ์วาน มูลค่า 1,800 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1,000 ล้านบาท และ Nue Noble รัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบา ทำยอดขายได้แล้ว 480 ล้านบาท ซึ่งถือว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ในปี 2564 บริษัทจะผลักดันแบรนด์ NUE ต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีสัดส่วนการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปีหน้า

“แผนการเติบโตของบริษัทยังคงเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเอง จากการขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการกระจายพอร์ตโครงการที่ยอู่อาศัยให้หลากหลายขึ้น รวมถึงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรในการต่อยอด และเพิ่มศักยภาพการพัฒนาโครงการ” นายธงชัย กล่าว

นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันบริษัทมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตร 2 รายหลัก คือกลุ่มฮ่องกงแลนด์ ที่จะพัฒนาโครงการใหม่ร่วมกันบนถนน วิทยุ มูลค่า  10,700 ล้านบาท โดยราคาขายอาจจะเริ่มต้นที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร คาดว่าอาจจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2563 หรือต้นปี 2564 และกลุ่มบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด(มหาชน) หรือU ในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน)หรือ BTS ที่ร่วมลงทุนโครงการแรกไปแล้ว คือ โครงการ Nue Noble รัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งเป็นที่ดินของกลุ่ม BTS โดยบริษัทจะยังคงมีความร่วมมือกับ BTS อย่างต่อเนื่อง และอาจจะมีที่ดินบางทำเลของกลุ่ม BTS ที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า

นอกจากนี้ในภาพรวมของหุ้น NOBLE บริษัทคาดหวังให้เป็นหุ้นปันผล (Dividend Stocks) ในช่วงแรกที่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะเห็นได้จากที่บริษัทถือเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 70% โดยล่าสุดได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.10 บาท/หุ้น สะท้อนภาพของผลการดำเนินงานที่พลิกฟื้นกลับมา แม้ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลงก็ตาม เพื่อทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนกับบริษัท และมีรายได้ที่แน่นอนเฉลี่ย 11,000-14,000 ล้านบาท/ปี ในช่วงปี 2563-2565 และระยะยาวจะก้าวสู่การเป็นหุ้นที่เติบโตอย่างยั่งยืน (Growth Stocks) จากการเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างความน่าสนใจเพื่อทำให้นักลงทุนสถาบันสนใจลงทุนใน NOBLE เพิ่มขึ้น

นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร

ด้านนายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงิน NOBLE กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่คบกำหนดอายุวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2563 หรืออาจจะชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนดังกล่าว โดยที่บริษัทมีแหล่งเงินทุนรองรับจากเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ให้วงเงินกู้ที่สามารถเบิกใช้ได้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมารองรับการชำระคืนหุ้นกู้ได้ โดยที่บริษัทอยู่ระหว่างการดูภาวะของตลาดตราสารหนี้ว่าจะมีแนวโน้มอย่างไร หากมีแนวโน้มที่ดี ก็สามารถออกหุ้นกู้ใหม่มาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมได้

ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทมีแนวโน้มที่ลดลงจากภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ตต้นทุนอัตราดอกเบี้ยของบริษัทในสิ้นปีนี้คาดว่าจะลดลงเหลือ 4% จากปีก่อนที่ 5% ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของบริษัทลดลง และทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ในระดับสูงถึง 17% ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นบริษัทจะรักษาให้ไม่ต่ำกว่า 34% จากการบริหารต้นทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านรายได้ในปี 2563 ยังมั่นใจทำได้ตามเป้า 10,000 ล้านบาท โดยที่ในครึ่งปีแรกบริษัททำรายได้ไปแล้ว 4,500 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีก 4,000-5,000 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 16,500 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย และยังรุกทำโปรโมชั่นราคาพิเศษในโครงการที่เป็นสต๊อกของบริษัทเพื่อสร้างรายได้กลับมาจากสต๊อกสินค้าพร้อมโอนที่มีอยู่กว่า 13,000 ล้านบาท

ส่วนยอดขายของบริษัทปัจจุบันทำได้แล้ว 4,000 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสทำได้ไม่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12,000 ล้านบาท เนื่องจากยังมีควาไม่แน่นอนว่าจะเปิดขายโครงการใหม่ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ มูลค่า 10,700 ล้านบาท ได้ทันในปลายปี 2563 หรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างการออกแบบ และยื่นการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม  (EIA) โดยที่โครงการดังกล่าวจะตั้งราคาขายที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมกับทำเลถนนวิทยุ ซึ่งหากไปเปิดขายในช่วงต้นปี 64 จะกระทบต่อยอดขายในช่วงปลายปีนี้ และอีก 1 โครงการที่บริษัทพัฒนาเองบนทำเลทองหล่อ มูลค่า 5,200 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ว่าจะเปิดในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาส 4/2563 ยังมีความไม่แน่นอนจากการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*