สมาร์ทคอนกรีตฯมั่นใจภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างอิฐมวลเบาครึ่งปีหลัง 63 มีทิศทางดีขึ้น เผยโควิด-19 พ่นพิษ ส่งผลงานก่อสร้างคอนโดฯชะลอตัว พลิกเกมปรับแผนรับงานภาครัฐเพิ่มขึ้นสัดส่วน 60% ทั้งรุกขยายฐานผู้รับเหมาฯรายเล็กเพิ่มเป็น 30% ด้านโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐพื้นที่ EEC เชื่อเมื่อเดินหน้าก่อสร้าง จะสร้างมูลค่าการรับงานมหาศาล  ทั้งเร่งขยายฐานลูกค้ากลุ่ม CLMV มั่นใจยอดขายปี63 โตไม่ต่ำกว่า 5%
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างอิฐมวลเบาในประเทศครึ่งปีหลัง 2563 ว่า มีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยในปีนี้บริษัทฯได้ปรับแผนหันมารับงานภาครัฐมากขึ้น ในสัดส่วน 60% เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งอยู่ในสัดส่วนที่ 40% โดยเป็นการรับงานผ่านผู้รับเหมาก่อสร้างรายเดิมและรายใหม่  ซึ่งมีทั้งรายใหญ่ กลาง เล็ก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก2563 ผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉพาะเซกเมนต์คอนโดมิเนียม ที่ยอดขายชะลอตัว ส่งผลให้งานก่อสร้างชะลอตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังรุกขยายตลาดกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายเล็กมากขึ้น จากเดิมลูกค้าในกลุ่มนี้มีสัดส่วนประมาณ 20% เพิ่มเป็น 30% ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในตลาดนั้นมีจำนวนไม่กี่รายและมีปริมาณจำกัด ในขณะที่ผู้รับเหมาก่อสร้างรายเล็กมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถชดเชยงานของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในส่วนของภาคเอกชนที่หายไปบางส่วนได้เป็นอย่างดี

ส่วนโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)แม้ว่าจะมีการได้กลุ่มผู้ชนะการประมูลแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเร่ิมงานก่อสร้าง ดังนั้นเราจึงต้องเน้นลูกค้าเอกชนในพื้นที่ EEC ก่อน เช่น โรงงานต่างๆในนิคมอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนธุรกิจอสังหาฯแนวราบในพื้นที่ก็มีอัตราการเติบโตเช่นกัน และเชื่อว่าเมื่อมีการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ในพื้นที่ EEC จะย่ิงทำให้บริษัทสามารถเพิ่มมูลค่าจากการรับงานมากยิ่งขึ้น

ในพื้นที่ EEC มีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการลงทุน  ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น นโยบายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น มีความต้องการที่อยู่อาศัย และกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง 2563” นายรังสีกล่าว

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญ ในการใช้วัสดุอิฐมวลเบาที่ได้มาตรฐาน และประหยัดพลังงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้งานและความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างอิฐมวลเบา ปรับตัวดีขึ้น และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น อาทิ  โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และเพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง       จึงสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วประเทศพร้อมกับการทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักรวมถึงการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอิฐมวลเขาด้วยระบบไอน้ำ จำนวน 4.5 ล้านตารางเมตร/ปี ส่วนอิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง มีกำลังผลิตที่ 7,500 ตารางเมตร/เดือน

ในช่วงไตรมาส2/2563 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดส่งผลให้หลายคนทำงานที่บ้านกันมากขึ้น ทำให้บริษัทฯมียอดขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีอัตราการเติบโตถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  โดยอิฐมวลเบาด้วยระบบไอน้ำยังเป็นสินค้าที่ทำรายหลักของบริษัทฯในสัดส่วน 80% และอิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง ส่วนส่วน 20% ซึ่งในครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตแล้วกว่า 20% คาดว่าทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% ที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ผ่านมานายรังสี กล่าว

นายรังสี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่อิฐมวลเบาประเภทตกแต่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) กระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและมีคำสั่งซื้อจากโครงการใน     ภาคตะวันออก กลุ่มลูกค้าสถาปนิก และผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยมากขึ้น

ส่วนตลาดต่างประเทศในปัจจุบันยังส่งสินค้าไปจำหน่ายใน 2 ประเทศ คือ กัมพูชาและสปป.ลาว เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก   ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าวโดยบริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อย่างต่อเนื่องปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพียง 2% เท่านั้น ส่วนตลาดในประเทศ มีสัดส่วน 98%

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้โดยมียอดขายประมาณ 480 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 5%  เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ผ่านมา มียอดขาย 460 ล้านบาท และรักษาความสามารถอัตราการทำกำไรสุทธิที่ระดับ 10%

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*