แสนสิริฯคาดตลาดคอนโดฯครึ่งปีหลัง 63 ยังไม่ฟื้นตัว  ผู้ประกอบการยังเน้นระบายสต๊อกเก่ามากกว่าเปิดโครงการใหม่ สวนกระแสผุด ดีคอนโด ไฮด์อเวย์มูลค่า 1,500 ล้านบาท  พร้อมปิดพรีเซล 1-2 ..63 การันตีผลตอบแทนการปล่อยเช่าประมาณ 5.5% ทั้งเดินหน้าเร่งระบายสต๊อกเก่าประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อเนื่อง มั่นใจยอดขายรวมตามเป้า 35,000  ล้านบาท
นายปิติ จารุกำจร
นายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูงและบริหารกลยุทธ์โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผถึงแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงชะลอการเปิดคอนโดมิเนียมออกไปก่อนเพราะตลาดคอนโดมิเนียมยังไม่ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่กลับมาซื้อได้ในช่วงนี้ จากการปิดประเทศ และผู้ประกอบการยังคงเน้นการขายโครงการคอนโดมิเนียมที่พร้อมอยู่ และโครงการคอนโดมิเนียมที่ใกล้สร้างเสร็จแล้ว เพื่อทยอยระบายสต๊อกออกมาสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ทำให้การเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีค่อนข้างน้อย ซึ่งเป็นโอกาสให้ที่บริษัทจะเปิดคอนโดมิเนียมใหม่บางโครงการมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในช่วงนี้

โดยล่าสุดบริษัทฯได้เปิดขายโครงการดีคอนโด ไฮด์อเวย์ย่านรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 26-32 ตารางเมตร ราคาเร่ิมต้นที่ 1.59-2.4 ล้านบาท จำนวน 800 ยูนิตมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท (ลบ.)โดยได้เปิดขายในรอบ VVIP เมื่อวันที่ 25-26 กรกฎาคม2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่เข้ามาจองแล้ว 190 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 320 ล้านบาท และจะเปิดพรีเซลในวันที่ 1-2 สิงหาคม 2563 นี้ โดยบริษัทนตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการดังกล่าวถึงสิ้นปี 2563 ไว้ที่ 50% และตั้งเป้ายอดขาย 80% เมื่อโครงการแล้วเสร็จในปี 2564 ส่วนอีก 20% จะนำมาขายเป็นยูนิตพร้อมอยู่

ซึ่งบริษัทมองเห็นถึงศักยภาพของทำเลรอบๆมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ที่มีจำนวนนักศึกษาจำนวนมากกว่า 40,000 คน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.2% ต่อปี และมีความต้องการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น เป็นทำเลที่มีจำนวนซัพพลายคอนโดมิเนียมประมาณ 15,000 ยูนิตจากประมาณ 10 โครงการ  ราคาขายตั้งแต่ 1.69-1.79 ล้านบาท  แต่ละโครงการจะมียอดขายประมาณ 50%  ประกอบกับอัตราค่าเช่าอยู่ในระดับที่ดี 8,500-10,000 บาท/เดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5% นอกจากนี้อัตราราคาขาย (Capital Gain)เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี  นับว่าให้ผลตอบแทนในการขายรีเซลได้เป็นอย่างดีทำให้เป็นทำเลที่มีศักยภาพเหมาะกับการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้ออยู่เพื่อลงทุน

เนื่องจากปัจจุบันตลาดคอนโดฯกำลังเข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ ที่ลูกค้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นหลัก แสนสิริ จึงพิถีพิถันในการพัฒนาคอนโดมิเนียมทุกโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ได้มากที่สุด และตรงกับอุปสงค์ของตลาดคอนโดมิเนียมในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบัน คอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ไม่สูงมากอย่างคอนโดมิเนียมเซกเมนต์ C และ D ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่บริษัทฯมองเห็นศักยภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นที่ชุมชนที่เป็นทำเลของผู้อยู่อาศัยจริงอย่างบริเวณมหาวิทยาลัย จากบทพิสูจน์ดีมานด์ตลาดดีคอนโด (dcondo) แสดงให้เห็นการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนายปิติ กล่าว

โดยที่ผ่านมา แสนสิริ พัฒนาแบรนด์ดีคอนโดมาแล้วทั้งสิ้น 32 โครงการ ตอกย้ำความสำเร็จในปีนี้ด้วยการปิดการขายรวดถึง 5 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต, ดีคอนโดแคมปัส รีสอร์ท กู้กู ภูเก็ต, ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด แคมปัส กำแพงแสน และ ดีคอนโด หาดใหญ่ อีกทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ถึง 2 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด ธาร และดีคอนโด บลิซ ศรีราชา

ทั้งนี้บริษัทฯประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการในพื้นที่ย่านรังสิต ปิดการขายไปแล้วถึง 3 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท รังสิต, ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท รังสิต เฟส 2 และดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต          รวมมูลค่าโครงการ 2,553 ล้านบาท

ขณะเดียวกันอีกหนึ่งกลยุทธ์ของคอนโดมิเนียมในปี 2563 บริษัทยังเน้นการโอนโครงการเพื่อรับรู้รายได้เข้ามาเป็นหลัก โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่ 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ XT เอกมัย, โครงการ oka huas, โครงการ La Habana หัวหิน, โครงการ ดีคอนโด ธาร, โครงการ ดีคอนโด บลิช ศรีราชา และโครงการ เดอะเบส เซ็นทรัลภูเก็ต ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนรายได้ให้กับบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้ารายได้ที่ตั้งไว้42,000 ล้านบาท หลังจากที่รายได้ในครึ่งปีแรกทำได้กว่า 50% ของเป้าหมายแล้ว ซึ่งปัจจุบันการโอนโครงการได้กลับมาทยอยเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายลง

นอกจากนี้บริษัทยังคงจัดกิจกรรมกระตุ้นการขายโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการพร้อมอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งระบายสต๊อกของบริษัทออกมา ซึ่งมีสต๊อกพร้อมขายอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ประกอบกับยังช่วยลูกค้าที่เตรียมยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินในการเตรียมความพร้อมในการการจัดงาน Credit Day ซึ่งมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการสัดส่วนมากกว่า 50% ของลูกค้าที่ซื้อโครงการของแสนสิริ เพื่อประเมินความสามารถในการกู้สินเชื่อของลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับลูกค้าก่อนยื่นกู้ ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินถือว่ามีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างมาก จะเห็นได้จากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 15% จากปีก่อนที่ 10% ทำให้บริษัทเห็นถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อของลูกค้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทสามารถทำยอดขายคอนโดมิเนียมได้แล้ว 11,000  ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2563 ที่ตั้งไว้ที่ 16,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายรวม 35,000  ล้านบาท ซึ่งบริษัทมั่นใจว่ายอดขายคอนโดมิเนียมยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายแม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่เพียง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และโครงการเดอะเบส อีสต์ บางแค ซึ่งเป็นโครงการที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ในราคาที่จับต้องได้ง่าย และเป็นทำเลที่บริษัทมั่นใจว่ามีความต้องการซื้อจากกลุ่มลูกค้าในบริเวณใกล้เคียงโครงการที่เปิด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*