“ออริจิ้น” ผ่าแผนธุรกิจกลุ่มสมาร์ทคอนโดฯครึ่งปีหลังปี 63 เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่า 4,350 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ตอบโจทย์กระแสความเปลี่ยนแปลงแบบ Next Normal สร้างแพลทฟอร์มจัดอีเวนต์ขายคอนโดออนไลน์ 100% ไม่ง้อ Sales Gallery ครั้งแรก นำร่อง “ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช” หวังนำส่วนลดต้นทุนให้ลูกค้าได้สินค้าราคาถูก เริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีกวาดยอดขายตามเป้า 21,500 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีกทั้งสิ้น 3 โครงการ  มูลค่าโครงการรวม 4,350 ล้านบาท(ลบ.) ได้แก่

1.ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut) ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2-2-83 ไร่ ติดถนนใหญ่บริเวณระหว่างซอยอ่อนนุช 24 และอ่อนนุช 26 ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมแบบ Low rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 21.5-34  ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขายเริ่มต้นที่1.29-2.49 ล้านบาท(ลบ.) หรือราคาเฉลี่ยที่ 68,000 บาท/ตารางเมตร   แบ่งเป็นห้องชุดจำนวน 399 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 จากนั้นจะเริ่มเปิดขายจริงในวันที่ 8 สิงหาคม 2563  คาดว่าตลอดเดือนสิงหาคม จะสามารถทำยอดขายได้ 70% ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4/2564 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2565

2.ดิ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (The Origin Plug and Play Ramintra) ซึ่งพัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม High Rise รูปแบบใหม่ จำนวนกว่า 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท

3.ดิ ออริจิ้น อี 22 สเตชั่น (The Origin E22 Station) พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม High Rise จำนวนประมาณ 900 ยูนิตขึ้นไป มูลค่าโครงการ 1,650 ล้านบาท

โดยคาดว่าจะทยอยเปิดขายทั้ง 3 โครงการภายในช่วงไตรมาส 3/2563 หรือต้นไตรมาส 4/2563 พร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ทุกกระแสความเปลี่ยนแปลงแบบ Next Normal ถือเป็นโครงการของกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม ที่มาเปิดตัวในครึ่งปีหลังทั้งหมด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่มีการลดหรือเลื่อนการเปิดตัวออกไปแต่อย่างใด

“ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เราต้องเผชิญกับความปกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal ในหลากหลายเรื่องมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ Lock-down ทำให้เราได้เรียนรู้ทั้งวิธีการขายแบบใหม่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบใหม่ ไปจนถึงสกิลและโซลูชั่นใหม่ๆ ครึ่งปีหลังของปีนี้ จึงเป็นช่วงที่เราจะนำเอาบทเรียนที่เป็น Key Learning จาก New Normal ในไตรมาส 2 มาพัฒนาทั้งกลยุทธ์และสินค้าของเราเพื่อก้าวไปสู่ Next Normal” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้กลยุทธ์ Origin Next Normal บริษัทจะสร้างสรรค์วิธีแก้ปัญหาเพื่อตอบโจทย์แห่งอนาคตใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่

1.วิธีแก้ปัญหาด้านการเข้าถึง (Reaching Solution) 

2.วิธีแก้ปัญหาสำหรับการอยู่อาศัย (Living Solution) 

โดยในระยะแรก หรือ The 1st Wave จะเน้นตอบโจทย์ Reaching Solution เริ่มจากการเปิดขายโครงการ “ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช” ผ่านอีเวนต์การขายออนไลน์ (Online Presales Event) เต็มรูปแบบ 100% โดยไม่มีสำนักงานขาย ไม่มีพนักงานขายแบบออฟไลน์ เป็นครั้งแรกของวงการ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคจะได้ Reaching Solution ไปทันที 2 อย่าง ได้แก่

1.ราคาที่ถูกลงและคุ้มค่ามากขึ้น เพราะเมื่อไม่ต้องมีสำนักงานขาย บริษัทก็สามารถทำราคาได้ถูกลงในระดับที่เซอร์ไพรส์ตลาดได้ เช่น สามารถให้ผู้บริโภคอยู่อาศัยในทำเลอ่อนนุชกับราคาเฉลี่ยเพียงประมาณ 68,000 บาท/ตารางเมตร หรือเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถของผู้บริโภคในการเข้าถึงทำเลดีๆ ภายใต้งบประมาณที่จับต้องได้

2.ความสามารถในการชมห้องตัวอย่างโดยไม่ต้องไปสถานที่จริง  ซึ่งบริษัทฯเล็งเห็นแล้วว่า ช่วงไตรมาส 2 ที่มีการ Lock-down ผู้บริโภคก็ยังมีความสนใจในการซื้อคอนโดมิเนียมผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการต้องไปเห็นห้องตัวอย่างจริงเท่ากับในอดีต จึงจะยกทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้า ขึ้นมาอยู่บนแพลทฟอร์มออนไลน์ทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคในการซื้อขายและเข้าถึงข้อมูลแบบ Next Normal

“แพลทฟอร์มอีเวนต์ออนไลน์ จะประกอบด้วยหลากหลายฟีเจอร์ อาทิ Walkthrough Video วิดีโอพาชมห้องตัวอย่างแบบต่างๆ อย่างละเอียด โดยพนักงานขายหรือ Influencer ที่จะมาแนะนำเสมือนลูกค้าอยู่ตรงหน้า ชมห้องตัวอย่างแบบ 360องศา ด้วยตัวคุณเองแบบคลิกมุมมองได้ 360 องศา Realtime Live Event  พบกับ Live สดจากนักวิเคราะห์ Blogger เพื่อให้ข้อมูลและตอบคำถามผู้บริโภคโดยตรงเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีช่องทางลงทะเบียนจองสิทธิล่วงหน้า โดยในขณะที่จองจะสามารถเลือก Topping ฟังก์ชั่นหรือสิ่งที่ต้องการในห้องเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทาย คาดว่าทั้งหมดจะตอบโจทย์ Customer Journey ได้เป็นอย่างดี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ปัจจุบันทำเลย่านอ่อนนุช มีซัพพลายมากถึงกว่า 10,000 ยูนิต แต่ระดับราคา60,000- 70,000 บาท/ตารางเมตร มีเพียง 5% เท่านั้น ขณะที่ระดับราคา 100,001-150,000 บาท/ตารางเมตร จะมีซัพพลายที่มากสุดถึง 43% โดยทำเลดังกล่าวมียอดขายรวมประมาณ 60%  ขณะที่ราคาขายที่ดินทำเลนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นทุกปี เชื่อว่าภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ ราคาขายจะปรับสูงขึ้น 800,000 บาท/ตารางวา

อีกทั้งทำเลอ่อนนุช ยังมีชาวต่างชาติอาศัยค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นทำเลที่ราคาขายสามารถจับต้องได้ และผลกำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital Gain)ค่อนข้างดี เติบโตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 5% โดยปีนี้ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 90,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 85,500 บาท/ตาราเมตร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเชื่อมั่นว่า ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคแบบ Next Normal ประกอบกับ Reaching Solution ทั้งด้านราคาและความสะดวกในการเข้าถึง จะทำให้ Origin Next Normal, The 1st Wave ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และคาดว่าภายในช่วงปลายเดือนสิงหาคม บริษัทจะประกาศรายละเอียดของ Origin Next Normal, The 2nd Wave ต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนของอีก 2 โครงการที่เหลือ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาสินค้า ซึ่งอาจจะดำเนินการขายในรูปแบบออนไลน์เช่นเดียวกับที่อ่อนนุช ก็เป็นได้ ทั้งนี้ต้องศึกษาดีมานด์ใน 2 ทำเลดังกล่าวก่อน หากดีมานด์ไม่สูงมาก ก็จะต้องมีการสร้างสำนักงานขายเสริมขึ้นมา

อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรก 2563 บริษัทในเครือออริจิ้นฯสามารถทำยอดขายได้แล้ว 11,200 ล้านบาท คิดเป็น 52% จากเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่ 21,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 32% และยอดขายจากคอนโดมิเนียม 68%

อนึ่ง บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นบริษัทที่พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ท คอนโดมิเนียม ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีแบรนด์หลักภายใต้การดูแลคือแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) เน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่มที่เพิ่งซื้อคอนโดมิเนียมหลังแรก (First Condo Buyer) อายุประมาณ 23-28 ปี โดยในปี 2562 มีการเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ดังกล่าวถึง 6 โครงการหลากหลายทำเลศักยภาพ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,700 ล้านบาท และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี จนทำให้หลายโครงการสามารถ Sold Out 100% ได้อย่างรวดเร็วื ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 73 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 114,000 ล้านบาท

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*