สิงห์ เอสเตทฯเผยวิกฤติโควิด-19 กระทบธุรกิจส่งผลปรับลดเป้ารายได้ปี’63 ลงกว่า 50% ประกาศทิศทางลงทุน 5 ปียังเป็นตามแผน ด้วยเม็ดเงิน 68,000 ล้านบาท ทั้งรุกคืบผนึกพันธมิตรร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในมัลดีฟส์ ครึ่งปีหลังเดินหน้าเร่งฟื้น 3 ธุรกิจในพอร์ต มั่นใจฐานการเงินยังแกร่ง ขยายการลงทุนได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท หนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ 0.86 เท่า
นายนริศ เชยกลิ่น
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยถึงวิกฤติโควิด-19 ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคมพฤษภาคม 2563)ว่า ทั้ง 3 ธุรกิจในเครือได้รับผลกระทบพอสมควร โดยธุรกิจที่อยู่อาศัย ได้รับผลกระทบประมาณ 10-15% แต่ก็ยังมีลูกค้าที่อยู่ในประเทศทยอยโอนคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง  ด้านธุรกิจโรงแรม ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดถึง 50-80% ขณะที่ธุรกิจอสังหาฯเพื่อเช่า คืออาคารสำนักงาน และศูนย์การค้า ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพียงแค่ 5-10% ทั้งนี้เชื่อว่าวิกฤติดังกล่าวเป็นผลกระทบในระยะสั้น ซึ่งเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขให้ผ่านไปได้

แต่วิกฤตดังกล่าวได้ส่งผลให้ในปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทฯได้ปรับลดรายได้รวมในปี 2563 จากเดิมที่ได้ตั้งเป้าไว้ 20,000 ล้านบาท  เหลือประมาณ 9,000 ล้านบาท  ลดลงมากกว่า 50% โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัยเกือบ 5,000 ล้านบาท (รวมรายได้จากบริษัท เนอวานา ไดอิจำกัด (มหาชน)ด้วย)ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯเพื่อเช่า ที่ไม่ได้อยู่ในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทอยู่ในกระบวนการพิจารณาเป้าหมายรายได้รวมในช่วง 5 ปีจากนี้ (2563-2567) ซึ่งจะต้องศึกษาและพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้น และต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เบื้องต้นคาดจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายปี 2563

หากเปรียบเทียบวิกฤติโควิด-19 ก็เหมือนการขับรถที่ต้องมีการผ่อนเกียร์ลงเมื่อเจอถนนที่ขรุขระ และเชื่อว่าวิกฤติดังกล่าวจะผ่านไปได้ในปีนี้ และเชื่อว่าในปีหน้าจะเข้าสู่โหมดเดิม ทุกธุรกิจจะกลับมาบุกกันมากขึ้น ดังนั้นในช่วงนี้เราต้องปรับองค์กรให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นนายนริศ กล่าว

ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงระยะเวลา 5 ปี (2563-2567)ยังเป็นไปตามแผนเดิม ด้วยงบลงทุน  68,000 ล้านบาท ใน 3 ธุรกิจหลัก ที่เน้นแบรนด์ระดับพรีเมี่ยม ได้แก่

1.ธุรกิจอสังหาฯเพื่ออยู่อาศัย จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 30 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 37,500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณ 5-7 โครงการต่อปี โดยจะเน้นพัฒนาโครงการแนวราบและจะขยายไปทุกระดับราคาในระดับพรีเมียม และไม่เน้นการทำสงครามราคา

2.ธุรกิจอาคารสำนักงาน จำนวน 4 โครงการ ตั้งงบลงทุนรวมที่ 8,500 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่เช่าเป็น 300,000 ตารางเมตร

3.ธุรกิจโรงแรม ตั้งเป้าขยายตัวเป็น 2 เท่า จาก 39 แห่งทั่วโลก เป็น 80 แห่ง ด้วยมูลค่าการลงทุน จำนวน 22,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงวิกฤติ โควิด-19 มีผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ประสบปัญหานำมาเสนอขายให้บริษัทฯถึงมากกว่า 20 แห่ง จาก 5 ประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา เพราะจากเหตุการณ์ด้วกล่าวทำให้บริษัทฯมีอำนาจในการต่อรองมาก คาดว่าในปีนี้น่าจะสรุปผลการซื้อกิจการโรงแรมได้มากกว่า 1 แห่ง

นอกจากนี้ยังเล็งเห็นโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ คือ พลังงานทางเลือก (Renewable Energy) โดยโครงการแรกจะเป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ขนาด5 เมกะวัตต์ ในประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งจะเริ่มลงทุนในช่วงไตรมาส 4/2563

เราจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต เราจะเดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักตามแผน โดยธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะมีการขยายไปยังทำเลใหม่ๆ สร้างสรรค์โครงการคุณภาพตอบรับโจทย์ New Normal ด้วยรูปแบบธุรกิจ New Living and Working Cluster ส่วนธุรกิจโรงแรม เราจะสร้างรายได้เพิ่มพร้อมมองหาพันธมิตรที่เหมาะสม ด้วยกลยุทธ์Smart M&A และ Asset Light Model  ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้เร็วแล้ว ยังสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านวิกฤติไปด้วยกันนายนริศ กล่าว

นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทเชื่อว่าทิศทางการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้น จาก 3 ธุรกิจในพอร์ต

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The ESSE Sukhumvit 36 มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 65-70% มูลค่ารวมประมาณ4,000 ล้านบาท บริษัทคาดในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสามารถส่งมอบโครการดังกล่าวได้ประมาณ40% นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ส่งมอบต่อเนื่อง  ด้านโครงการThe EXTRO พญาไทรางน้ำ ซึ่งเร่ิมทดลองเปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายประมาณ 15% คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณไตรมาส 4/2563

ขณะเดียวกันจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบของแนวราบ ประมาณ 3-4 โครงการ โดยจะเป็นโครงการแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ ของ S พัฒนาเอง 1 โครงการ และจะทำการตลาดในโครงการเดิมที่มี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

เราเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะขยายตัวออกจากเมืองไปยังทำเลใหม่ๆ ตามการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนและโครงข่ายถนน ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์ยูส อันประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม รีเทล ออฟฟิศแนวราบ  และพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “New Living and Working” เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอนาคต ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Wellness จะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่มีโอกาสเกิดนายนริศ กล่าว

ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ทั้งอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า

ธุรกิจโรงแรมและบริการ เบื้องต้นบริษัทคาดจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2563 จากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ  โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงและลงทุนในอาคารสำนักงานและโรงแรม โดยการปรับปรุงให้ตอบรับยุค“New Normal”

นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมวา ในช่วงวิกฤตโควิด-19 บริษัทฯ มีการดูแลและบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพปัจจุบัน S มีกระแสเงินสดในมือ 6,000 ล้านบาท และ สามารถขยายการลงทุนได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท อีกทั้งรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net interest bearing debt to equity ratio) อยู่ในระดับต่ำ 0.86 เท่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการนำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งขายสิทธิการเช่า 30 ปี ของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์สให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME REIT) จึงทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถลงทุนขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจะนำอาคารสำนักงานเมโทรโพลิส และพื้นที่ค้าปลีกซันพลาซาเข้ากอง REIT รวมถึงการออกหุ้นกู้ต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*