แสนสิริฯเผยยอดโอนรอบครึ่งปีแรก ทะลุ 25,220 ล้านบาท ทุบสถิติการโอนสูงสุดเป็นประวัติการณ์-โตจากปีก่อนถึง 152% คิดเป็น 60% จากเป้าโอนล่าสุด 42,000 ล้านบาท ผลจากมีสินค้าครอบคลุมสนองดีมานด์ทุกระดับราคา และเดินเกมเร็ว อัดแคมเปญตอบโจทย์ กุมสภาพคล่องในมือถึง 12,000 ล้านบาท ระบุยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี ถึง 53,500 ล้านบาท
 นายอภิชาติ  จูตระกูล
 นายอภิชาติ  จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI   เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับการตอบรับเป็นอย่างสูงในการดำเนินธุรกิจ จากกลุ่มลูกค้าทั้งในด้านการขายและโอนโครงการ โดยสร้างผลงานปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยไปถึง 21 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 34,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยล่าสุดบริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 25,220 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นยอดการโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริ ทุบทุกสถิติการโอนที่เคยทำได้สูงสุด ทั้งในรอบครึ่งปีแรกและรายไตรมาส โดยแบ่งเป็นยอดโอนในไตรมาสแรก 8,535 ล้านบาท และยอดโอนในช่วงไตรมาสสอง 16,685 ล้านบาท ทั้งนี้ยอดโอนในไตรมาสที่ 2 ยังทุบสถิติยอดโอนสูงสุดที่เคยทำได้ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดโอนโครงการแนวราบเติบโตขึ้นจากปีก่อน 59% และโครงการคอนโดมิเนียมมียอดโอนโตกว่า 299% รวมถึง บริษัทยังมีจำนวน Secure โอนคอนโดมิเนียมที่สูงถึงเกือบ 90% จากจำนวนยูนิตสร้างเสร็จประมาณ 10,000 ยูนิต ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่ดีที่สุดในตลาดสำหรับการขายและการโอนในขณะนี้

ความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก มาจากการขยับและเดินเกมส์เร็วนำหน้าคู่แข่ง การมีกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง ด้วยการคิดและนำเสนอโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า อาทิ “มีเงินเดือนเริ่มต้น 18,000 บาทก็เป็นเจ้าของสิริ เพลส ได้ง่ายๆ” , “โปรลื่นปรื้ด” และแคมเปญที่พัฒนาจาก Customer Insight “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง ผ่าน Multi-channel เพื่อตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิดในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้แสนสิริต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพตลาด (Speed to Market) รวมถึงการบริหารเงินสดในมือที่ดี (Cash is King) ยังส่งผลให้แสนสิริเป็นองค์กรที่มีสภาพคล่องสูง มีกระแสเงินสดที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้มียอดขายและยอดโอนถล่มทลาย สวนกระแสตลาดหดตัว นอกจากนี้ยอดขายและยอดโอนที่ประสบความสำเร็จยังมาจากความแข็งแกร่งของแสนสิริ ในการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา สะท้อนความเชื่อมั่นในการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านด้วยมาตรฐานการออกแบบและคุณภาพโครงการ ตลอดจนบริการหลังการขายหรือ Sansiri Service ที่สามารถครองใจผู้บริโภค จากการเป็นผู้นำด้านการบริการในที่อยู่อาศัย และความมั่นใจสูงสุดด้านความปลอดภัยจาก LIV-24 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้กลุ่มลูกค้าเลือกแสนสิริ ยังรวมไปถึงความมั่นคงด้านการเงินจากการบริหารองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผลงานการโอนยังมาจากการบริหารงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จากการรุกขยายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยภายใต้ระบบพรีคาสต์ โดยได้เปิดตัวโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพกำลังการผลิต เป็น 1.2 ล้านตารางเมตรต่อปี เพื่อเตรียมส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพโดยได้เริ่มเดินหน้ากำลังการผลิตในไตรมาสแรกที่ผ่านมา พร้อมดันยอดโอนสู่เป้าหมายใหม่ 42,000 ล้านบาท

ในปีนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริมีพันธกิจในการโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับลูกค้าตามเป้าหมายการโอนใหม่ที่มีการปรับเพิ่มจาก 33,000 ล้านบาท เป็น 39,000 ล้านบาท และเป้าหมายล่าสุด 42,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นยอดการโอนที่สูงมากในอันดับต้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดโอนหลักจากโครงการคอนโดมิเนียม อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คาวะ เฮาส์เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ และเดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง เป็นต้น รวมถึงโครงการแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม มิกซ์ โปรดักส์ และลักซ์ชัวรี โฮม ออฟฟิศ อาทิ บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา, เศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า2, บุราสิริ พัฒนาการ, สิริ เพลส สุขสวัสดิ์ – พระราม3, สิริ เพลส เพชรเกษม – สาย 4 มิกซ์โปรดักส์ อณาสิริ บางใหญ่ และลักซ์ชัวรีโฮมออฟฟิศ ไทเกอร์ เลน เป็นต้น

“บริษัทฯสามารถสร้างยอดโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้กว่า 25,220 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดี่ยวกันของปีก่อนถึง 152% และคิดเป็น 60% จากเป้าหมายการโอนใหม่ 42,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจึงเหลือพันธกิจในการโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายอีกเพียง 16,780 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอภิชาติ กล่าว

นายอภิชาติ กล่าวต่อไปว่า  กุญแจสำคัญที่จะผลักดันแสนสิริ ให้บรรลุเป้าหมายการโอน ซึ่งจะผลักดันสู่รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น มาจากการโฟกัสโครงการแนวราบเป็น Strategic Flagship ควบคู่ไปกับการรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 บริษัทฯยังมีแผนโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ อีก 5 โครงการใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, XT เอกมัย โอกะ เฮาส์ และ ลา ฮาบานา หัวหิน เป็นต้น นอกจากนี้แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี อีกถึง 53,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ แผนการเติบโตระยะยาว บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายให้เติบโตสู่ 120,000  ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่

1.แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ต่างๆ บริษัทยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รองรับการเติบโตอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,700 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,100 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท

2. การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด

3. การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยการจัดสรรเงินหมุนเวียนในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลตอบรับในการปิดการขาย Subordinated Perpetual Bond ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวมเป็น 12,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวะการณ์

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*