“แอล.พี.เอ็น.” มองข้ามช็อต! ธุรกิจอสังหาฯขาลง “โอภาส ศรีพยัคฆ์” สั่งลุยระบาย Inventory ต่อแบบไม่หยุด ลดจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ ขอTest ตลาดคอนโดฯก่อนเปิดจริงไตรมาส 4 ล่าสุด งัดกลยุทธ์การันตีผลตอบแทน 6%* 3 ปี พร้อมรับซื้อคืนเท่ากับราคาที่ซื้อโอนกรรมสิทธิ์ ใน 3 โครงการจำนวน 300-400 ห้องราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาท มูลค่าขายรวมกว่า 1,000-1,200 ล้านบาท

 

“เราได้ประเมินแผนการลงทุนในปีนี้ยาวไปจนถึงปีหน้า 2564 แล้วด้วยการใส่สมมติฐานเศรษฐกิจและธุรกิจขาลงไปล่วงหน้า เพียงแต่ว่าโควิด-19 มันทำให้ทุกอย่างลงเร็วขึ้น” … นั่นคือคำยืนยันที่ “โอภาส ศรีพยัคฆ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวกับทีมข่าว prop2morrow.com  พร้อมกับย้ำว่า เห็นสัญญาณนี้มาสักระยะตั้งแต่ปี 2558 จึงได้ชะลอการเปิดตัวโครงการ เร่งระบาย Inventory เรื่อยมา และเมื่อได้มีการคาดหมายล่วงหน้าจึงเป็นที่มาของการกำหนดให้ปี 2563 นี้เป็นปีที่บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (Year of Proficiency) โดยให้ความสำคัญในสามประเด็นหลัก คือ

  • การเพิ่มประสิทธิภาพ (Year of Proficiency) ในการทำกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  • ขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา
  • และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯให้ดีขึ้น

ลดจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ ขอTest ตลาดคอนโดฯก่อนเปิดจริงไตรมาส 4

พร้อมกันนี้ “โอภาส” ยังเล่าว่าเมื่อช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 บริษัทฯได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการเน้นการขายสต็อกสินค้าเก่ามีอยู่พร้อมกับปรับลดเป้าการเปิดตัวโครงการใหม่ของปี 2563 จากแผนงานที่ประกาศเมื่อเดือนมกราคม ปี 2563 ทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,000-13,000 ล้านบาท ตามแผนจะเน้นการเปิดตัวในครึ่งแรกของปี แต่เนื่องจากสภาพตลาดไม่เอื้อจึงเปิดเพียง 1โครงการย่านเตาปูน คือ โครงการลุมพีนี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เป็นคอนโดสูงขนาด 30 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ จำนวนห้อง 710 ยูนิต มีห้องพักให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) รูปแบบสตูดิโอ ขนาด 22.50 – 23.00ตารางเมตร( ตร.ม.) 2) รูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28.00 – 34.00 ตร.ม. 3) รูปแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 43.00 ตร.ม. มูลค่าโครงการรวม 1,780 ล้านบาท เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภคและทำยอดขายได้ค่อนข้างดี

จากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี2563 จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,000-13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท และเป็นที่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการเปิดใหม่ที่เป็นแนวราบเบื้องต้นยังคงแผนเดิม ขณะที่โครงการเปิดใหม่ประเภทคอนโดมิเนียมนั้นลดลงเหลือ 4 โครงการ ส่วนที่ว่าจะมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งประเภทแนวสูงและแนวราบลดลงอีกหรือไม่ LPNขอทำ “การทดสอบตลาด” ก่อนโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม

“คอนโดฯเปิดไปแล้วหนึ่งเหลืออีกสามโครงการคิดว่าจะเปิดไตรมาส 4 แต่ช่วงไตรมาส 3 ขอTest ตลาดก่อนเปิดจริง” 

ครั้งแรก ! กับกลยุทธ์การันตีผลตอบแทน 6%* 3 ปี พร้อมรับซื้อคืน

สำหรับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี2563นั้น “โอภาส” ให้ความเห็นว่า ยังต้องเผชิญกับความท้าทายการระบาย Inventory ยังเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทฯต้องเน้นอยู่ ล่าสุด เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2563  ที่ผ่านมาบริษัทฯได้จัดแคมเปญการตลาด “การันตีผลตอบแทน 6%* 3 ปี พร้อมรับซื้อคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ” ซึ่งเป็นครั้งแรกของ LPN ที่โครงการนักลงทุน ( INVESTOR PROGRAM )ขึ้น ด้วยการนำห้องชุด 300-400 ห้องราคาขายไม่เกิน3 ล้านบาท มูลค่าขายรวมกว่า 1,000-1,200 ล้านบาท ใน 3 โครงการประกอบด้วย โครงการ ลุมพินี เพลส พระราม 3 – ริเวอร์ไรน์ , โครงการ ลุมพินี พาร์ค พหล 32 และ โครงการลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร – สะพานควาย

โครงการนักลงทุน ( INVESTOR PROGRAM )ที่จัดขึ้นนี้ เป็นการหนึ่งในสามกลยุทธ์ “ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรของLPN” ห้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ “เงินสด” เข้ามาเร็วที่สุด ด้วยการนำเอาโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็น Inventory ที่สร้างเสร็จเป็นห้องที่ว่างอยู่จากที่เดิมที่ประกาศไว้เมื่อช่วงต้น 2563 ว่าจะนำมา “ปล่อยเช่า” มาปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็น “การขายการันตีผลตอบแทนและรับซื้อคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ” ให้กับนักลงทุน ภายใต้กลยุทธ์นี้ “โอภาส” บอกว่านับตั้งแต่นำโครงการเสนอนักลงทุนเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 340 ล้านบาท ซึ่งนอกจากนักลงทุนทั่วไปแล้ว บริษัทฯยังมีลูกค้าเก่าที่เป็นนักลงทุนที่ติดตามซื้อโครงการของ LPN มาตลอดซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีคิดเป็นสัดส่วน 5% หรือราว 5,000 รายจากฐานลูกค้าทั้งหมดที่ซื้อห้องชุดในโครงการของบริษัทฯ

ทั้งนี้ การจัดแคมเปญการตลาด “การันตีผลตอบแทน 6%* 3 ปี พร้อมรับซื้อคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ” นั้นมีเงื่อนไข ดังนี้

ผลตอบแทน

  • การันตีผลตอบแทน 6.0 % ต่อปี
  • รับผลตอบแทนรายไตรมาส ทุกวันที่ 25 ของเดือนมีนาคม, มิถุนายน, กันยายน และธันวาคมงวดแรกวันที่ 25 กันยายน 2563
  • ช่วงเวลาการลงทุน 2 ปีแรก รับผลตอบแทน 6% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปีเต็ม /เริ่มปีที่ 3 ตั้งแต่เดือนที่ 25 ให้สิทธิถือครองห้องชุดต่อหรือเลือกขายคืน จะได้รับผลตอบแทนจนถึงวันโอนกรรมสิทธิ์ขายให้แก่บุคคลอื่น
  • เมื่อครบกำหนดเวลา 36 เดือน ให้ถือว่าสัญญาสิ้นสุด

สิทธิในการรับซื้อคืน

  • ราคา LPN รับซื้อคืนเท่ากับราคาที่ซื้อโอนกรรมสิทธิ์
  • ตั้งแต่ต้นปีที่ 3 เริ่มเดือนที่ 25 ของการใช้ผลประโยชน์ห้องชุด มีเงื่อนไขให้สิทธิเลือกว่าจะขายคืนหรือถือครองห้องชุดต่อไป
  • LPN จะมีหนังสือสอบถามความต้องการก่อนครบเดือนที่ 25 อย่างน้อย 30 วัน
โครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร”

จับตาแผนขายทั้งตึกออฟฟิศให้คู่ค้าในโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร”

พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า หากพิจารณาถึงการระบายคอนโดมิเนียมที่เป็น Inventory ในโครงการที่สร้างเสร็จถือว่าเป็นกลยุทธ์หลักตลอดทั้งปีของผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินแทบจะทุกราย ซึ่งก็รวมถึง LPN ด้วยเป้าหมายต้องการลดความเสี่ยงธุรกิจ และแปลง Inventory มาเป็นเงินสดให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ( ณ สินปี 2562โครงการที่สร้างเสร็จที่มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าจับตามองด้วยว่าโจทย์ธุรกิจใหม่ที่ LPN จะนำมาใช้เพิ่มเติมใน “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร”โครงการมิกซ์ยูส มูลค่ารวมทั้งโครงการ 5,000 ล้านบาทบนเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่เศษ  จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน จำนวน 2 อาคาร (A และ B) ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี-จตุจักร” และ อาคารชุดพักอาศัย จำนวน 2 อาคาร (C และ D) ออกแบบภายใต้แนวคิด “Work & Life” ที่ LPN ปักหมุดและเปิดตัวไปเมื่อปี 2561  พร้อมกับหมายมั่นการต่อยอดการลงทุนด้วยกลยุทธ์ ขยายฐานรายได้ประจำ สู่ธุรกิจ Recurring Income อีกครั้งของ LPN หลังจากเคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการพัฒนาอาคารสำนักงานไปเมื่อปี 2532 กับโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ (ถ.พระราม 4) และ แอล.พี.เอ็น.ทาวเวอร์ (ถ.พระราม 3)

ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนของสำนักงานอาคาร A และ B  นั้น LPN จะมีการปรับกลยุทธ์จากกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่เป็นนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME มาเป็นการขายยกทั้งตึก(อาคารใดอาคารหนึ่ง)ให้กับคู่ค้าหรือไม่ อย่างไร ต้องติดตาม…

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*