ฟีนิกซ์ฯเผยอสังหาฯหลังโควิด-19 ยังซึมยาวถึงปี65 ห่วงธุรกิจ COMMERCIAL โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน หวั่นลูกค้าคืนพื้นที่เช่า ซัพลายใหม่ล้นตลาด ล่าสุดกองทุนฯสิงคโปร์ อัดเม็ดเงินตั้งต้น 10,000 มอบหมายเป็นตัวแทนซื้ออสังหาฯไทยทุกรูปแบบที่สร้างรายได้ผลกำไรทันที ทั้งเตรียมเสนอแผนผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีไทยบริหารธุรกิจ นำ 3 อาคารเรียนรีโนเวท ปรับปรุงเป็นพื้นที่เช่าสร้างรายได้ระยาว
ดร.ปฏิมา จีระแพทย์
ดร.ปฏิมา จีระแพทย์ ประธานกรรมการ  บริษัท ฟีนิกซ์ 1010 โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผย ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายได้พยายามแก้ปัญหาของตนเอง ด้วยการนำโครงการต่างๆมาจัดแคมเปญให้ส่วนลดมาก 30-50% ซึ่งไม่อยากให้ผู้บริโภคทั่วไปยึดติดกับภาพดังกล่าว เพราะแต่บริษัทฯมีความจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง หากเป็นช่วงระยะเวลาปกติแต่ละบริษัทจะมีอัตรากำไรอยู่ที่ประมาณ 20-25% ซึ่งเชื่อว่าอสังหาฯจะซึมยาวไปถึงปี 2565 จึงจะเริ่มฟื้นตัว

ส่วนธุรกิจ COMMERCIAL  โดยเฉพาะธุรกิจให้เช่าอาคารสำนักงาน ที่เริ่มน่าเป็นห่วง เพราะเริ่มประสบปัญหาด้วยเช่นกัน จากการลดพื้นที่เช่า การลดจำนวนพนักงาน ของบริษัทต่างๆที่เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน หากเศรษฐกิจโลกยังประสบปัญหา และไม่ฟื้นตัว ธุรกิจดังกล่าวก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เพราะในอีก 2-3 ปีข้างหน้าก็จะมีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 9.8 ล้านตารางเมตร

ขณะที่ธุรกิจรีเทล ก็ยังน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะต้นทุนการดำเนินการเดลิเวอรี่นั้นดำเนินการได้ง่ายกว่าเงินทุนที่จะใช้ลงทุนพัฒนาห้างสรรพสินค้า ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็น่าเป็นห่วง หลายบริษัทเริ่มมีการคืนพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ไม่ได้เป็นที่เปิดเผยในวงกว้าง  โครงการพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่เคยเป็นความหวังของธุรกิจอสังหาฯ ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะแผนการลงทุนของภาครัฐยังไม่ค่อยมีความคืบหน้า

ด้านธุรกิจโรงแรม ที่มีบางสื่อออกข่าวว่ามีโรงแรมจำนวน 22 แห่งในพื้นที่กทม.ประกาศขายในราคาที่สูง ก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด   แม้ว่าที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ประกอบการบางรายประกาศขายจริงเช่นกัน แต่ไม่ใช่ที่เป็นตามข่าว ส่วนใหญ่โรงแรมขนาดเล็ก แต่ราคาไม่สูงตามที่เป็นข่าว ประมาณ 100 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนโรงพยาบาล ที่ผ่านมาก็มีรายได้ลดลงเช่นกัน เพราะช่วงโควิด-19 ชาวต่างชาติที่เคยมาใช้บริการหายไปเป็นจำนวนมาก และคนไทยก็ไม่ใช้บริการเช่นกัน

“มองว่าทุกธุรกิจเป็นวัฏจักร มีขึ้นมีลง อย่ากังวลจนเกินไป เพราะในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะสำหรับนักธุรกิจบางรายเช่นกัน”นายปฏิมา กล่าว

นายปฏิมา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมากองทุนอสังหาฯจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็น Private Equity Fund แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้  ได้มอบหมายฟีนิกซ์ฯจัดหาอสังหาฯที่สามารถสร้างรายได้ผลกำไร ได้ทันที และซื้อขายในราคาสมเหตุสมผล ของมูลค่าทั้งหมด โดยมีเงินทุนตั้งต้นประมาณ 10,000 ล้านบาท  ซึ่งขณะนี้ก็เปิดกว้างในทุกธุรกิจที่ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง อาทิ คอนโดมิเนียม โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน และโรงงานที่มีไฮเทคโนโลยี ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้ได้มีผู้ประกอบการในทุกธุรกิจดังกล่าวข้างต้นได้ติดต่อเข้ามาแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อนำเสนอให้กองทุนดังกล่าวพิจารณาเป็นลำดับถัดไป

นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายการถือครองกรรมสิทธิ์ในห้องชุดสำหรับต่างชาติ ที่ปัจจุบันถือครองได้ในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของเนื้อที่ห้องชุดในอาคารชุด  เพราะทั่วโลกมองว่าประเทศไทยจะเป็นเซ็นเตอร์ในเรื่องสาธารณสุข การท่องเที่ยว การลงทุนในอาเซียนในอนาคตได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องโควิด-19 ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลทบทวน หรือผ่อนปรน แก้กฎหมายให้ธุรกิจอสังหาฯไทยในทุกประเภทให้ก้าวต่อไปได้ เช่น ในบางพื้นที่ที่มีต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ควรมีการจัดโซนนิ่งให้ถือครองได้ 100%

ด้านการคมนาคม โดยเฉพาะรถไฟฟ้า ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการไปแล้วหลายสาย และปัญหาการจราจรจะดีขึ้น หากรัฐบาลปรับลดค่าบริการ เพื่อให้คนมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น และลดปัญหาการจราจรบนถนน ขณะเดียวกันก็มองว่าโควิด ทำให้คนไทยสามารถปรับปรุงวินัยในเรื่องการจราจรได้มากขึ้น

นอกจากนี้ยังเป็นตัวกลางในการช่วยผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน และปัญหากับสถาบันการเงิน ต้องการในการปรับโครงสร้างและหาเงินทุนหมุนเวียน ทางบริษัทฯก็ยินดีเข้าไปเป็นตัวแทนหรือหาเงินทุนระยะสั้น ให้กับผู้ประกอบการดังกล่าวได้ซึ่งการเจรจาอย่างสมเหตุสมผล

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะปรับปรุงอาคารเรียนในวิทยาลัยเทคโนโลยีไทยบริหารธุรกิจ ที่เดิมเปิดหลักสูตร ปวช.-ปวส.มีนักเรียนประมาณ 3,000 คน ปัจจุบันเหลือเพียง 200-300 คนเท่านั้น เพราะคนเริ่มไม่นิยมเรียนหลักสูตรดังกล่าว  โดยได้มีการนำเสอนกับเจ้าของสถาบันในการนำอาคารเรียนทั้งหมด จำนวน 3  อาคาร พื้นที่ประมาณ 6 ไร่ มาปรับเป็นออฟฟิศให้เช่า ,โคเวิร์คกิ้ง สเปซ,สถานที่จัดสัมมนา จุคนได้ประมาณ 600 คน และสตูดิโอ เป็นต้น  เพื่อรองรับผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็ก เพื่อปรับ โดยจ่ายในราคาที่ไม่สูงมาก  ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการเสนอแผน จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*