“แสนสิริ” แจงผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2563 มีรายได้รวม 6,623 ล้านบาท ด้านต้นทุนขาย-ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเท่ากับ 4,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 % ส่งผลกำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 19.9% และส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยอยู่ที่กว่า 2.28 ล้านบาท ลดลงเกือบ 100% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  ผลจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 

 

วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 บริษัท แสนสิริ จากัด (มหาชน) หรือ SIRI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)เพื่อชี้จงผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย สำหรับงวดสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ในไตรมาสที่1/2563แสนสิริมีรายรับรวมทั้งสิ้น 6,623 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยที่ 0.2% จากจำนวน 6,638 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าบริการธุรกิจที่ปรับลดลง 46 % อย่างไรก็ดี รายได้ จากการขายโครงการซึ่งเป็นรายได้หลักของแสนสิริเพิ่มขึ้น 10% สำหรับกำไรสุทธิของไตรมาส 1/2563 มีจำนวน 62 ล้านบาท ลดลง 85 % เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 405 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2562

รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์
สำหรับรายได้จากการขายโครงการในไตรมาสที่ 1/2563 และไตรมาสที่ 1/2562 สามารถวิเคราะห์แบ่งตามประเภท ผลิตภัณฑ์ ได้ตามตารางด้านล่างนี้


ทั้งนี้รายได้จากโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่ 1/2563 เพิ่มขึ้นที่ 10 %เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่1/2562 ปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมและมิกซ์ที่ 132 % และ 241% ตามลำดับ ในขณะที่แสนสิริมีรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวในไตรมาสที่ 1/2563 ลดลงที่ 26% และลดลงที่ 22% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในไตรมาสที่ 1/2563 แสนสิริและ บริษัทย่อยมีรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว 44.7% จำนวน 2,405 ล้านบาท รายได้จากการขายโครงการ คอนโดมิเนียม 41.0 % จำนวน 2,210 ล้านบาท รายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์ 11.2% จานวน 602 ล้านบาท และรายได้จากการขายโครงการมิกซ์ 3.1% จำนวน 166 ล้านบาท

สำหรับรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวปรับลดลงที่ 22% จากจำนวน 3,075 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 มาอยู่ที่จำนวน 2,405 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 โดยรายได้หลักของโครงการบ้านเดี่ยวมาจาก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านแสนสิริ พัฒนาการ, โครงการบุราสิริ พัฒนาการ และโครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า2 โดยมีรายรับรวมจาก 3 โครงการจำนวน 651 ล้านบาท คิดเป็น12% ของรายได้จากโครงการเพื่อขายทั้งหมด

รายรับค่าบริการอสังหาริมทรัพย์
สำหรับรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ปรับลดลงที่ 26% จากจำนวน 817 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2562 มาอยู่ที่ 602 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 ทั้งนี้รายได้หลักยังคงมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “สิริเพลส”โดยมีมูลค่ารวมจาก 12 โครงการอยู่ที่ 504 ล้านบาท คิดเป็น 9 % ของรายได้จากโครงการเพื่อขายทั้งหมดโดยโครงการสิริเพลสสุขสวัสดิ์-พระราม3 เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ที่มีการรับรู้รายได้สงูที่สดุในไตรมาสที่1/2563

ในส่วนของรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม เพิ่มขึ้นที่ 132 % จากจำนวน 952 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 มาอยู่ที่จำนวน 2,210 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2563 ทั้งนี้รายได้หลักของโครงการคอนโดมิเนียมมาจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ,โครงการคาวะ เฮาส์ ,โครงการดีคอนโด ริน และโครงการลา กาซิต้า หัวหิน โดยมีรายรับรวมจาก 4 โครงการดังกล่าวจำนวน 1,850 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากโครงการเพื่อขายทั้งหมด

สำหรับไตรมาสที่ 1/2563 แสนสิริมีรายได้จากโครงการเพื่อเช่าเท่ากับ 21 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากจำนวน 22 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 ในขณะที่รายรับค่าบริการธุรกิจในไตรมาสที่ 1/2563 มีจำนวน 706 ล้านบาท ลดลงที่ 46% จากจำนวน 1,318 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากการรับ บริหารงานก่อสร้างให้แก่กิจการที่ควบคุมร่วมกัน

ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2562 แสนสิริได้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจการบริหารโรงแรม ภายใต้แบรนด์ The Standard ซึ่งเป็น แบรนด์โรงแรมระดับโลก และยังมีแผนที่จะขยายกิจการอย่างต่อเนื่องตามหัวเมืองใหญ่ในทุกมุมโลกจากการลงทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้แสนสิริกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำให้ต้องมีการบันทึกรายได้จากธุรกิจการบริหารโรงแรมเข้ามาในงบการเงิน ซึ่งในไตรมาสที่ 1/2563 แสนสิริมีรายได้ค่าบริหารโรงแรมจำนวน 58 ล้านบาท

นอกจากนี้แสนสิริยังรายได้ค่าบริการอื่นซึ่งประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจโรงแรมและรายได้จากธุรกิจโรงเรียน ในไตรมาสที่ 1/2563 รวมจานวน 75 ล้านบาท ลดลง 3 % จากจานวน 78 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562

ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

ต้นทุนขาย

สำหรับไตรมาสที่ 1/2563 ต้นทุนโครงการเพื่อขายเท่ากับ 4,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 %เมื่อเทียบกับต้นทุน โครงการเพื่อขายในไตรมาสที่1/2562 ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากโครงการเพื่อขายในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาสที่ 1/2563อยู่ที่ 19.9% ลดลงจาก 26.7% ในไตรมาสที่ 1/2562 ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการขายและการโอนกรรมสิทธิของยูนิตที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อเป็นการเร่งระบายสินค้าคงเหลือในช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงสำหรับต้นทุนโครงการเพื่อเช่ามีจานวน 21 ล้านบาท เพิ่มจากจำนวน 18 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 ในขณะที่ต้นทุนบริการธุรกิจลดลงจาก จำนวน 1,039 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 มาอยู่ที่ 585 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 ตามการลดลงของรายได้ค่าบริการ ธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการบันทึกต้นทุนค่าบริหารโรงแรมจำนวน 159 ล้านบาท จากการลงทุนเพิ่มเติมใน The Standard เช่นเดียวกันกับการบันทึกรายได้ค่าบริหารโรงแรม ในขณะที่ต้นทุนบริการอื่น ซึ่งครอบคลุมไปถึงต้นทุนธุรกิจโรงแรมและ ต้นทุนธุรกิจโรงเรียน ลดลงที่ 7 % จากไตรมาสที่ 1/2562

ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร

ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารในไตรมาสที่ 1/2563 เท่ากับ 1,305 ล้านบาท คิดเป็น 19.7 % ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 16.3 % ของรายได้รวม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายของไตรมาสที่ 1/2563 มีจำนวน 452 ล้านบาท คิดเป็น6.8% ของรายได้รวม ปรับลดลงจาก 7.1% ในไตรมาสที่ 1/2562 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาสที่ 1/2563 มีจำนวน 853 ล้านบาท คิดเป็น 12.9 % ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่  9.2 % ในไตรมาสที่ 1/2562 สาเหตุหลักเกิดจากการย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯทำให้บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและขนย้าย รวมถึงการชำระค่าเช่าอาคารสำนักงานเดิมบางส่วนสำหรับฝ่ายงานที่ทยอยย้าย ตามแผนการดำเนินการ ประกอบกับค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มเติมที่บริษัทจ่ายเพื่อเป็นการชดเชยให้กับพนักงานที่ลาออกจากการปรับโครงสร้างและกระบวนการทำงานภายในใหม่และจากการไม่สามารถย้ายมายังสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ได้ ซึ่งค่าใช้จ่าย เหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะไตรมาสเท่านั้น

ค่าใช้จ่ายทางการเงิน

ค่าใช้จ่ายทางการเงินในไตรมาสที่ 1/2563 อยู่ที่ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 191 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2562 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอการเปิดตัวโครงการ ส่งผลให้ที่ดินบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างกระบวนการออกแบบ และการวางแผนด้านการตลาดยังไม่ได้นำมาพัฒนาโครงการ ทำให้ดอกเบี้ยของที่ดินดังกล่าวไม่สามารถบันทึกเป็นต้นทุนได้

กำไรสุทธิ

สำหรับไตรมาสที่1/2563แสนสิริและบริษัทย่อยบันทึกกำไรสุทธิเท่ากับ 62 ล้านบาท จากการขายธุรกิจอสังหาฯ (บ้าน,คอนโดฯและทาวน์เฮาส์) ลดลงเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ จำนวน 405 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2562 โดยในไตรมาสที่ 1/2563 มีอัตรากำไรสุทธิ 0.9 % ของรายได้รวม ลดลงจากอัตรากำไรสุทธิที่ 6.1 % ในไตรมาสที่ 1/2562 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายโครงการ รวมถึงการขาดทุนจากธุรกิจการบริหารโรงแรมซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบ กับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหาร ทั้งนี้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับไตรมาสที่ 1/2563อยู่ที่ 94.5% ของกำไรก่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล

 

“หากพิจารณาในรายละเอียดตามที่แจ้งในตลาดหลักทรัพย์ฯของแสนสิริและบริษัทย่อย งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 จะเห็นว่าสำหรับงวดอยู่ที่กว่า 2.28 ล้านบาท ลดลงเกือบ 100%”

จากข้อมูลสำหรับงวดดังล่าวข้างต้นอยู่ที่ 2.28 ล้านบาท นั้นได้รับการยืนยันข้อมูลจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทแสนสิริว่า เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อย สำหรับไตรมาสที่1/2563แสนสิริและบริษัทย่อยบันทึกกำไรสุทธิเท่ากับ 62 ล้านบาท

ทั้งนี้จากข้อมูลที่แสนสิริและบริษัทย่อยแจ้งตลาดหลักทรํพย์ฯถึงงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ สำหรับงบสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตามรายละเอียด ดังนี้

สินทรัพย์

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 แสนสิริและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม เป็นจำนวน 115,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,863 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยสินทรัพย์หมุนเวียน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวน 79,782 ล้านบาท เพิ่มจำนวน 5,199 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในขณะที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจานวน 35,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,665 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สิทธิการใช้ ตามการบังคับใช้ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16

หนี้สิน
สำหรับหนี้สินรวมของแสนสิริและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวน 82,123 ล้านบาท เพิ่มจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำนวน 5,662 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 30,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,123 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน 51,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,539 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 แสนสิริและบริษัทย่อยมีหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ย 63,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 57,867 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นผลมาจากมาจากการเพิ่มขึ้น ของหุ้นกู้ชนิดไม่มีประกันที่บริษัทฯได้ออกเสนอขายในช่วงไตรมาสที่ 1/2563 ที่ผ่านมา และการเพิ่มขึ้นจากการบันทึกหนี้สินตามสัญญาเช่า ตามการบังคับใช้ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผ้ถือหุ้นเท่ากับ 2.48 เท่าและหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหุ้น(GearingRatio) เท่ากับ1.93เท่า ทั้งนี้บริษัทฯยังคงสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินได้ตามที่กำหนดไว้กรณีที่ออกตราสารหนี้กล่าวคือ กำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกินกว่า 2.5ต่อ1

โดยนิยาม“หนี้สิน” หมายถึงหนี้สินรวมตามที่ปรากฏในงบการเงินรวมซึ่งรวมถึงภาระผูกพันทางการเงินและส่วน ของหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ออกหุ้นเข้าคำประกัน อาวัล หรือ ก่อภาระผูกพันอื่นใดลักษณะเดียวกันให้บุคคลใดๆหรือนิติบุคคลอื่น(การค้ำประกันไม่รวมถึงกรณีที่บุคคลอื่นเข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันผู้ออกหุ้นกู้หรือเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทย่อย)

อย่างไรก็ดี ภาระผูกพันทางการเงินและส่วนของหนี้สิน กล่าวข้างต้น ไม่หมายความรวมถึงภาระผูกพันทาง การเงินและส่วนของหนี้สินที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนี้ทางการค้ารายรับล่วงหน้าหรือหนี้ใดๆของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยและหนี้สินตามสัญญาเช่า

ส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้นของแสนสิริ ณ วันที่ 31มีนาคม 2563 มีจำนวน 33,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,202 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ปัจจัยหลัก มาจากการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนในตราสารทุนของกิจการ JustCo ที่มีการเพิ่มขึ้น ของมูลค่ายุติธรรมจำนวน 703 ล้านบาท

กระแสเงินสด
ทั้งนี้แสนสิริและบริษัทย่อยมีเงินสดสุทธิยกมาจาก ณ วันที่31 ธันวาคม 2562 เท่ากับ 2,132 ล้านบาท แสนสิริมีเงินสด สุทธิใช้ไปในกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 979 ล้านบาท เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมการลงทุน จำนวน 493 ล้านบาท และเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมการหาเงิน จำนวน 2,588 ล้านบาท เป็นผลให้แสนสิริและบริษัทย่อยมีเงินสดคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 จำนวน 3,288 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมดำเนินงาน แสนสิริมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานจำนวน 4,576 ล้านบาท ในการนี้แสนสิริใช้กระแสเงินสดไปในการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจำนวน 5,601 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมลงทุนแสนสิริใช้เงินสดไปในการลงทุนในบริษัทย่อยการให้กู้ยืมแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน และจ่ายซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 842 ล้านบาท จานวน 698 ล้านบาท และจำนวน 674 ล้านบาท ตามลาดับ สำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน แสนสิริใช้กระแสเงินสดจ่ายไปในการชำระคืนเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยจำนวน 1,697 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*