แสนสิริฯเผยวิกฤติโควิด-19 ช่วยเร่งการแข่งขันในตลาด ส่งผลดันยอดขายโอนกรรมสิทธิ์ฉลุย กำกระแสเงินสดหมุนเวียนถึง 10,000 ล้านบาท ปูพรมสร้างความแกร่งด้วยการออก Perpetual Bond มูลค่า 2,500 ล้านบาท ระบุมีกลุ่มทุนฮ่องกงสนใจแล้ว ประกาศผลประกอบการไตรมาส1/63 มีรายได้รวม 6,623 ล้านบาท โต10% รับรู้กำไรอีกกว่า 703 ล้านบาท จากการเพิ่มมูลค่าของ JustCo โดยจะบันทึกในกำไรสะสมตามมาตรฐานบัญชีใหม่ พร้อมเดินหน้าขยายฐานตลาดที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมทุกระดับราคา เสริมความแกร่งแบรนด์
นายอภิชาติ  จูตระกูล
นายอภิชาติ  จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI เปิดเผยว่า จากความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งนำหน้าคู่แข่งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้แสนสิริต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพตลาด (Speed to Market) ส่งผลให้มียอดขายและยอดโอนที่ดี สวนกระแสตลาดหดตัว รวมถึงบริษัทยังมีสภาพคล่องและ Cash flow หรือกระแสเงินสด อีกถึง10,000 ล้านบาท ที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์

 

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2563 ได้มีมติอนุมัติแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโต ในอนาคตของบริษัท โดยการขออนุมัติออกหุ้นสามัญรวมจำนวน 4,600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.07 บาทส่งผลให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 16,224,125,722.40 บาท มาเป็นทุนจดทะเบียนใหม่ที่ 21,146,125,722.40 บาท โดยการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน(Warrant) ที่ออกให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)จำนวน2,500,000,000 หุ้น โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 1.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุนที่จองซื้อหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน เมื่อมีการเลิกบริษัท (Perpetual Bond) ที่บริษัทจะออกและเสนอขายโดยมีมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 2,500,000,000 บาท และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามโครงการออก และเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท (ESOP#8) ให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน 700,000,000 หุ้น โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 1.10 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ผู้บริหารและพนักงานในการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังเป็นการจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพในการทำงานให้อยู่กับบริษัทต่อไปในระยะยาว อันจะส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานและการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

 

นอกจากนี้ จะมีการขออนุมัติกรอบการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ไว้จำนวน 1,400,000,000 หุ้น โดยจะมีการดำเนินการขออนุมัติมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 นี้ สำหรับหุ้นสามัญที่จะออกเพิ่มให้กับนักลงทุนสถาบัน ในวงจำกัด (private placement) มีกลุ่มทุนที่ให้ความสนใจได้แก่ กองทุนที่ฮ่องกง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับแสนสิริ

 

ความสำเร็จจากการออกหุ้นกู้ระยะยาวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเล็งเห็นศักยภาพในการรักษาการเติบโตได้ จึงมีการพิจารณาแผนความแข็งแกร่งด้านการเงินระยะยาว โดยการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการออกPerpetual Bond 2,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแสนสิรินับจากนี้ ในการเป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งภายใต้ทุกสภาวการณ์ สามารถตอบรับกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน หรือขยายฐานการลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆ รองรับทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมในอนาคตนายอภิชาติ กล่าว

 

ทั้งนี้จากข้อมูลเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 บริษัท แสนสิริ จากัด (มหาชน) หรือ SIRI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)เพื่อชี้จงผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย สำหรับงวดสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ กระแสเงินสดไว้ดังนี้ แสนสิริและบริษัทย่อยมีเงินสดสุทธิยกมาจาก ณ วันที่31 ธันวาคม 2562 เท่ากับ 2,132 ล้านบาท แสนสิริมีเงินสด สุทธิใช้ไปในกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 979 ล้านบาท เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมการลงทุน จำนวน 493 ล้านบาท และเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมการหาเงิน จำนวน 2,588 ล้านบาท เป็นผลให้แสนสิริและบริษัทย่อยมีเงินสดคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 จำนวน 3,288 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมดำเนินงาน แสนสิริมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานจำนวน 4,576 ล้านบาท ในการนี้แสนสิริใช้กระแสเงินสดไปในการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจำนวน 5,601 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมลงทุนแสนสิริใช้เงินสดไปในการลงทุนในบริษัทย่อยการให้กู้ยืมแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน และจ่ายซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 842 ล้านบาท จานวน 698 ล้านบาท และจำนวน 674 ล้านบาท ตามลาดับ สำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน แสนสิริใช้กระแสเงินสดจ่ายไปในการชำระคืนเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยจำนวน 1,697 ล้านบาท

ส่วนหนี้สินรวมของแสนสิริและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวน 82,123 ล้านบาท เพิ่มจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำนวน 5,662 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 30,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,123 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน 51,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,539 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 แสนสิริและบริษัทย่อยมีหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ย 63,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 57,867 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นผลมาจากมาจากการเพิ่มขึ้น ของหุ้นกู้ชนิดไม่มีประกันที่บริษัทฯได้ออกเสนอขายในช่วงไตรมาสที่ 1/2563 ที่ผ่านมา และการเพิ่มขึ้นจากการบันทึกหนี้สินตามสัญญาเช่า ตามการบังคับใช้ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผ้ถือหุ้นเท่ากับ 2.48 เท่าและหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหุ้น(GearingRatio) เท่ากับ1.93เท่า ทั้งนี้บริษัทฯยังคงสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินได้ตามที่กำหนดไว้กรณีที่ออกตราสารหนี้กล่าวคือ กำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกินกว่า 2.5ต่อ1

** อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ >>“แสนสิริ” แจงต้นทุนขาย-ค่าการตลาดพุ่งกดดัน1Q63- ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 2.28 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 6,623 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 5,393 ล้านบาทเติบโตขึ้น 10% จากปีก่อนมาจากการโอนโครงการแนวราบและแนวสูงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 59 : 41 % ล่าสุดมียอดขายอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท  นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรจากการลงทุนจากการเพิ่มมูลค่าของ JustCo ที่แสนสิริเข้าไปลงทุนถือหุ้น โดย Daito Trust บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจของ Justco และได้เข้าซื้อส่วนลงทุนของ Justco มูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ Valuation ของ Justco เพิ่มมูลค่าอย่างมาก โดยแสนสิริในฐานะผู้ถือหุ้นสามารถรับรู้กำไรจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนนี้ได้กว่า 703 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ดี ตามมาตรฐานการบัญชีนั้น กำไรจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จแต่จะถูกบันทึกเป็นกำไรสะสมในงบดุลโดยตรง สำหรับ JustCo นับเป็น Coworking space & Serviced Office รูปแบบใหม่ที่กำลังครองใจคนทำงานทั่วอาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปีปัจจุบันประกอบด้วย 42 จัสท์โค เซ็นเทอร์ ใน 8 เมืองใหญ่ต่างประเทศ โดยในประเทศไทยจัสท์โคเปิดตัว 4 แห่ง นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่แสนสิริเล็งเห็นศักยภาพและมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในปัจจุบัน

 

แผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินคือ การสานต่อการสร้างแบรนด์แสนสิริให้แข็งแกร่งมากขึ้น การที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นมูลค่ารวมเกือบ46,900 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีแผนขยายการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้เป็นอย่างดีนายอภิชาติ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*