แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิที่ “ลดลง” จากไตรมาสเดียวกัน(1Q62)ของปีก่อน 38.03% อันเนื่องมาจากยอดรายได้จากการขายลดลง 40.08%

 

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจทางด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” สำหรับปี 2563 บริษัทฯได้ปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะถดถอยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในภาคของอาคารชุดพักอาศัย ด้วยการกระจายฐานรายได้ไปยังการพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยและธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ดังเห็นได้จากผลการดำเนินงานของไตรมาส 1 ในมิติทางการเงิน

ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (1Q63)ของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิที่ “ลดลง” เมื่อเทียบจากไตรมาสเดียวกัน(1Q62)ของปีก่อน 38.03% อันเนื่องมาจากยอดรายได้จากการขายลดลง 40.08% แต่บริษัท ยังคงรักษาระดับกำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% ในขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจให้เช่า และบริการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 42.17 % เป็นการขยายงานเช่าตามนโยบายของบริษัทฯอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2561 ได้แก่โครงการ ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต -คลอง 1 เฟส 3 ซึ่งเพิ่มขึ้น 80% และในปี 2563 จะมีโครงการนำร่องอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 และลุมพินี เพลส พระราม 3 -ริเวอร์ไรน์ที่บริษัทฯจะนำมาปล่อยเช่าเช่นกัน อีกทั้งบริษัทฯได้มีการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัทฯ ทำให้มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นตามนโยบายบริษัทฯ คือไม่เกิน 1:1 ในขณะเดียวกันมีการบริหารต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง เป็นผลจากเครดิตเรทติ้งซึ่งสะท้อนถึงฐานะการเงินที่มีความมั่นคงของบริษัทอีกด้วย

รายงานผลโครงการที่สร้างแล้วเสร็จ และโครงการเปิดตัวใหม่ ยอดขาย Backlog ไตรมาส 1 ปี 2563

  1. โครงการที่แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบไตรมาส 1 ปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,860 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีโครงการที่แล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2563 รวมทั้งหมด 2โครงการ แบ่งเป็น 1) โครงการอาคารชุดพักอาศัย 1โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี เพลส พระราม 3 – ริเวอร์ไรน์มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท และ 2) บ้านพักอาศัยของบริษัทย่อย 1 โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี ทาวน์ วิลล์ รังสิตคลอง ๒ (เฟส 2) มูลค่าโครงการประมาณ 160ล้านบาท
  2. โครงการเปิดตัวใหม่ยอดขาย และBacklog 31 มีนาคม 2563 บริษัทฯมียอดขายในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 2,620 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วน ดังนี้

2.1 สัดส่วน 52.92%  เป็นโครงการสร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่ก่อนปี 2563 แบ่งเป็น อาคารชุดพักอาศัย 36.77% และบ้านพักอาศัย 16.15% คิดเป็นยอดขายรวม 1,386 ล้านบาท

2.2 สัดส่วน 40.30 % เป็นโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 4 โครงการ คิดเป็นยอดขายรวมได้ 1,056 ล้านบาทโดยมีมูลค่าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมดประมาณ 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ยอดขายรวมประมาณ 750 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการประมาณ 1,800 ล้านบาท

2) บ้านพักอาศัยจำนวน 3โครงการ ยอดขายรวม 260 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท ได้แก่

2.1) บ้านลุมพินีทาวน์เพลส สุขุมวิท -ศรีนครินทร์

2.2) บ้านพักอาศัยของบริษัทย่อยจำนวน 2 โครงการ ได้แก่โครงการ บ้านลุมพินี ทาวน์ วิลล์ ลาดกระบัง -สุวรรณภูมิ(เฟส 1) และโครงการ บ้านลุมพินีทาวน์ วิลล์ พหลโยธิน -สะพานใหม่ (เฟส 1)

2.3 สัดส่วน 3.88%  เป็นโครงการที่สร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 2 โครงการ แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ ลุมพินี เพลส พระราม 3 – ริเวอร์ไรน์ และบ้านพักอาศัยจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ บ้านลุมพินี ทาวน์ วิลล์ รังสิต คลอง ๒ (เฟส2)คิดเป็นยอดขายรวมได้ 102 ล้านบาท

2.4 สัดส่วน2.91 % เป็นโครงการระหว่างก่อสร้าง คิดเป็นยอดขายรวมได้ 76 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี2563และปี 2562 มีรายละเอียดดังนี้

งบกำไร (ขาดทุน) รวม

บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 38.03 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เกิดจากรายได้จากการขายที่ลดลง 40.08% โครงการที่แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 2 โครงการ เป็นอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ และเป็นบ้านพักอาศัย 1 โครงการ ในขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 42.17% เป็นการขยายงานเช่าอย่างต่อเนื่องของโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต -คลอง 1 โดยเพิ่มขึ้น 80%  ของช่วงเดียวกันของปีก่อน

งบแสดงฐานะทางการเงิน ณ 31 มีนาคม 2563 และ 31 ธันวาคม 2562 มีรายละเอียดดังนี้

สินทรัพย์รวม

บริษัทฯมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 834.39 ล้านบาท จาก 23,473.35 ล้านบาท เป็น 24,307.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.55% สาเหตุหลักเกิดจาก

  1. เงินสดเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 461.18 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 92% เกิดจาก เกิดจากการสeรองเงินไว้สำหรับการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เมษายน 2563
  2. จ่ายค่ามัดจำที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต 1โครงการ ได้แก่ ที่ดินบริเวณจรัญสนิทวงศ์ ซอย 22
  3. สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 633.64 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.72 % จาก 9,429.68 ล้านบาท เป็น 10,063.32 ล้านบาท เกิดจากในไตรมาส 1 ปี 2563 มีโครงการที่สร้างแล้วเสร็จจำนวน 2 โครงการ เป็นอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ เป็นบ้านพักอาศัย 1โครงการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
  4. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 892.11ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.25 % จาก 3,532.87 ล้านบาท เป็น 4,424.98ล้านบาทเกิดจากมี 1 โครงการที่ชะลอการก่อสร้างในปี 2563 ได้แก่ โครงการลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส –รัชดา

หนี้สินรวม

หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 1,219.55 ล้านบาท จาก 10,314.25 ล้านบาท เป็น 11,533.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.82 %  โดยมีสาเหตุหลักคือเป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการลงทุนพัฒนาโครงการเพิ่ม และการด าเนินงานเพิ่มขึ้น 956.73ล้านบาท จาก 7,641.02 ล้านบาท เป็น 8,597.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.52 %

จากผลข้างต้นทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก0.58:1เป็น 0.67:1 และ จาก 0.78:1เป็น 0.90:1 ณ 31ธันวาคม 2562และ ณ 31 มีนาคม 2563 ตามลำดับ หรือถ้าเทียบกับงวดเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นจาก 0.44:1 เป็น 0.67:1และ จาก 0.70:1 เป็น 0.90:1 ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวข้างต้นยังอยู่ภายใต้นโยบายของบริษัทฯคือไม่เกิน 1:1โดยบริษัทฯ ยังมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยมีต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ในสัดส่วนต่ำกว่า 3 % ลดลงจาก 4 %  เป็นผลมาจากการจัดเครดิตเรทติ้งของบริษัทฯ นั่นเอง

งบกระแสเงินสด

สำหรับงบกระแสเงินสดงวดสิ้นสุด 31 มีนาคม 2563 และ ณ 31 ธันวาคม 2562 กระแสเงินสดรวมสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 461.18 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 92 %  สาเหตุหลักเพื่อสำรองเงินจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เมษายน 2563 และสำหรับเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน งบกระแสเงินสดงวดสิ้นสุด 31 มีนาคม 2563 และ ณ 31 มีนาคม 2562 กระแสเงินสดรวมสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 349.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 56.89 %  สาเหตุหลักเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทำให้คืนเงินกู้สถาบันการเงินน้อยลง มีกระแสเงินเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเงินเพื่อพัฒนาโครงการ

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*