“เรายังคงเป้าหมายเดิมที่ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี” นั่นคือ การตั้งเป้ามูลค่ายอดขายรวมที่“ไพสิฐ แก่นจันทน์” มือบริหารที่มากด้วยประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่อยู่อาศัย และโรงแรม กล่าวในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PROUD ซึ่งเข้าร่วมบริหารนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 เขาก็พร้อมที่จะนำพาประสบการณ์ที่เคยบริหารงานให้กับบิ๊กเนมอสังหาฯหลายๆค่ายมาใช้กับที่นี่ที่พราว เรียล เอสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม พราว กรุ๊ป ของตระกูล “ลิปตพัลลภ”

 … และภารกิจของ “ไพสิฐ” ก็คือ เป็นผู้นำทัพพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยแตะระดับมูลค่า 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี (ปี 2562- 2566) ซึ่งนั่นหมายถึง จะต้องมีการเปิดตัวโครงการใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 1-2 โครงการ

ไพสิฐ แก่นจันทน์

PROUD บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มตระกูล “ลิปตพัลลภ” ได้รับการจับตามองถึงความเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ “พสุ – พราวพุธ  ลิปตพัลลภ”สองพี่น้องทายาทของนายสุวัจน์ ลิปตพัลล ได้เข้าไปเทคโอเวอร์ ด้วยวิธีการ Backdoor Listing บริษัท โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ FOCUS ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562  และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)  เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา และจากข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุทั้ง “พสุ – พราวพุธ  ลิปตพัลลภ” ทั้งสองเป็นถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 70.48% จากทุนจดทะเบียน 673,148,951.00 บาท (ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว:641,468,952.00 บาท) และนั่งบริหารงานในตำแหน่ง กรรมการ และกรรมการบริหารบริษัทฯ

สำหรับการดำเนินงานของบริษัท พราว เรียล เอสเตท “ไพสิฐ” บอกว่าจะเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเป็นอีกขาธุรกิจหวังเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ พราว กรุ๊ป ควบคู่ไปกับธุรกิจอีกขา ที่เป็นฐานธุรกิจเดิมที่สร้างรายได้ประจำในธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงแรม, สวนน้ำ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ไลฟ์สไตล์ ในหัวเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ อย่าง “หัวหิน” ประกอบด้วย  โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท ,โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหิน, ทรูอารีน่า หัวหิน, สวนน้ำ วานา นาวา, วานา สกาย, บลูพอร์ต หัวหิน และ 111 Social Club (บ้านสไตล์ Colonial เก่าแก่ ติดกับโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหินซึ่งปรับปรุง เป็นคลับเฮ้าส์ติดชายหาด)

การเปิดเกมรุกธุรกิจใหม่ของ PROUD กับเป้าหมายพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยให้ได้รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี(ปี 2562- 2566) ถือว่าท้าทายพอสมควรเพราะทางเดินสู่เป้าหมายที่อยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน จากปัจจัยลบทั้งภายนอกและภายในประเทศ การแข่งขันของตลาด เศรษฐกิจที่ติดลบ รวมถึงวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด -19 ที่ทั่วทั้งโลกเผชิญนั้น “ไพสิฐ” ยอมรับว่า ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ PROUD ด้วยซึ่งก็คงคล้ายๆกันกับอสังหาฯเจ้าใหญ่อื่นๆ จะต่างกันก็ตรงที่ PROUD เป็นบริษัทขนาดเล็กกว่า และโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของ PROUD นั้นเพิ่งเริ่มเต็มตัวเมื่อปี 2562 ซึ่งการเดินสู่เป้าหมายพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยให้ได้รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาทก็เป็นแผนระยะยาวภายในช่วง 5 ปียังอยู่ในวิสัยที่ทำได้ไม่ยากนัก

“ต้นทุนเราคงที่ (Fixed cost) เดือนละราวๆ 5 ล้านบาทซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการที่พัฒนามีกำไรอย่างน้อย 400-500 ล้านบาทในเชิงธุรกิจแล้วถือว่ายังอยู่ได้ไม่ต้องลดไซส์ให้เหนื่อยเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ หากประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือล็อกดาวน์ห้ามคนเข้าออกดีเลย์ไป3-6 เดือน ยังรับมือไหว”

พร้อมกันนี้ “ไพสิฐ” กล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยโชคดีมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่งและสู้เพื่อพวกเราจนตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเรื่อยๆเหลือเลขหลักเดียว ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีนำไปสู่การปลดล็อกดาวน์  อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤตที่เกิดจากเชื้อโควิด-19 จะคลี่คลาย แต่ก็เชื่อว่าสังคมจะได้รับบทเรียน ต้องดำเนินชีวิตบนพื้นฐานที่ไม่ประมาท และปรับตัว

สำหรับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องเรียนรู้หลายด้าน เพราะความต้องการของคนนั้นปรับเปลี่ยนกลับมาสู่วิถีชีวิตเดิม (Old Normal)นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องสร้างนิยาม (Redefine) คำว่า “บ้าน” ใหม่ กล่าวคือ บ้าน จะต้องเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตได้จริงยาวนาน 24 ชั่วโมง ไม่รู้สึกอึดอัด มีอากาศถ่ายเทสะดวก มีพื้นที่สำหรับทำงาน ออกกำลังกาย บ้านหรือที่พักอาศัยที่จะพัฒนานับจากนี้ไปจะต้องตอบโจทย์ที่เรียกว่า “ปัจจัย 4+1” เป็นอย่างน้อยประกอบด้วย อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งหุ่ม และ ยารักษาโรค คือความสำคัญขั้นพื้นฐาน บวก 1 ที่เพิ่มเข้ามาเป็นปัจจัยที่ 5 นั่นคือการสื่อสารเชื่อมต่ออนาคต หรือ Connectivity กับโลกภายนอก

ชู 5 กลยุทธ์ผ่านแนวคิด “MORE THAN JUST LIVING : ชีวิตที่มากกว่า”

วันนี้ต่างชาติหลายคนที่เช่าเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์อยู่เริ่มมองหาบ้านเช่า และห้องชุดที่มีขนาดเล็กเกินไปอาจไม่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริง การทำงานที่บ้าน (Work From Home) แม้จะไม่สามารถนำมาใช้ในการทำงานกับทุกตำแหน่ง แต่ก็จะเป็นมาตรการที่ได้รับการยอมรับหรือมีการจัดเตรียมนโยบายไว้พร้อมหากเกิดภาวะการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมา รวมถึงผู้บริโภคบางกลุ่มไม่ต้องการความแออัดในเมือง จึงมองหาบ้านหลังที่สองเป็นที่ตากอากาศ มีการเดินทางที่สะดวก ที่ใช้ชีวิตอยู่ได้จริง ทั้งทำงาน และพักผ่อน

ในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ PROUD นั้น “ไพสิฐ” ย้ำว่าดำเนินงานภายใต้แนวคิด MORE THAN JUST LIVING : ชีวิตที่มากกว่า” โดยผ่านกลยุทธ์สำคัญ ดังนี้

  • ทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม
  • เน้นลูกค้าที่มีกำลังในการใช้จ่ายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ
  • มุ่งเน้นที่กรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ(เช่น หัวหิน และภูเก็ต เป็นต้น
  • สนองความต้องการของลูกค้า,สรรค์สร้างความสะดวกสบายกับเทคโนโลยี
  • สร้างความแตกต่าง โดยเพิ่มการบริการเหนือจากการบริหารหรือการบริการในที่อยู่อาศัยทั่วๆ ไป

​​“เราจะไม่ทำตลาด Mass เราทำตลาด Niche Market โครงการที่พัฒนา หรือ โปรดักส์ที่ทำจะต้องสะท้อนตัวตนของ พราว มีบุคลิก (Character) ของแบรนด์ให้ชัดเจน ทั้งทำเล ราคา และกลุ่มเป้าหมาย”

ด้วยการวางตำแหน่งธุรกิจและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่ต้องการบ้านพักผ่อนหลังที่สอง หรือ ตลาดนักท่องเที่ยว ทั้งกลุ่มอายุ 50 ขึ้น ที่มีกำลังซื้อสูง หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวแทบเอเซีย โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมี่ยม มิลเลเนียล ทางบริษัทฯ จึงมีแนวคิดที่จะทำอสังหาฯ แนวใหม่หรือ Resort homes โดยผสมผสานประสบการณ์การพักผ่อน และการให้บริการระดับโรงแรม เข้ากับการดีไซน์ ของที่พักอาศัย ซึ่งยังคงต้องมีความคุ้มค่า ในแง่ของการลงทุน ออกมาในรูปแบบ ลิฟวิ่ง โซลูชั่น คอนเซปต์ MORE THAN JUST LIVING” เน้นย้ำทำเลทอง – พื้นที่ส่วนกลาง และ การให้บริการระดับโรงแรม -การออกแบบเชิงรีสอร์ท- การทำการตลาดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ผู้พักมีความสะดวกสบายมากขึ้นดึง “อินเตอร์คอนติเนนตัล” เชนรร.ระดับโลกบริหารยกชั้นอสังหาฯBranded Residence

“อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” (Intercontinental Residences Hua Hin) คือโครงการเป็นที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่โครงการแรกของ PROUD ที่เปิดตัวในปี 2562 และเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล กรุ๊ป (IHG ) เชนโรงแรมระดับโลก เข้ามาบริหารตอบโจทย์ที่พักอาศัยในรูปแบบ Branded Residence ระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่สไตล์รีสอร์ท บนทำเลทองริมหาดหัวหินเนื้อที่ 7 ไร่เศษ มีจำนวน 238 ยูนิต ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) หรือราคาเริ่มต้นที่ 7.89 – 100 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาทปัจจุบันโครงการ“อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” มียอดขายไปแล้ว 35% ลูกค้าที่เข้ามาซื้อเป็นชาวไทยสัดส่วน 90% มีต่างชาติเข้ามาบ้างไม่มาก โดยบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย นอกจากนี้ ยังมีเอเจนซี่อสังหาฯจากต่างประเทศ 8-9 ราย สนใจนำโครงการไปขายต่างประเทศ ส่วนใหญ่จากโซนเอเชีย อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รัสเซีย และสแกนดิเนเวีย โดยสาเหตุที่สนใจเพราะเป็นBraded Residence ในเครือ IHG ที่คนรู้จักในด้านรูปแบบการดีไซน์ ห้องพัก และราคา จึงทำให้เอเจนซี่ทำตลาดง่ายเพราะมีมาตรฐานชัดเจนที่ลูกค้าเข้าใจ

ปรับสมดุลพอร์ตรายได้ลดความเสี่ยง

จากการสร้างมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัยผ่านโครงการ“อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” เพื่อเป็นตัวช่วยสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการบริหารโครงการต่อบุคคลภายนอก อีกทั้งยังสามารถต่อยอดในการพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไป ซึ่ง “ไพสิฐ”บอกว่าบริษัทฯ ได้ทำการศึกษาแนวทางเพิ่มเติมการลงทุนในโครงการใหม่ซึ่งกำาหนดเป็นแผนธุรกิจ โดยวางแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้มีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมทั้งในส่วนของคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อปรับสมดุลพอร์ตรายได้ ป้องกันความเสี่ยงในการพึ่งพิงรายได้จากแหล่งเดียวสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตนั้น บริษัทฯ มีที่ดินเปล่าที่ซื้อจากบริษัท วานา นาวา จำกัด (ตั้งแต่ช่วงเข้าซื้อกิจการจาก บมจ.โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ฯ ) เนื้อที่กว่า 5 ไร่ เมื่อต้นปี 2562 ที่ผ่านมาโดยคาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการช่วงปลายปี 2563 ทั้งนี้โครงการดังกล่าวพัฒนาบนพื้นที่บริเวณเดียวกับ สวนน้ำวานา นาวา และ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหิน ซึ่งมองเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตในบริเวณดังกล่าวที่เกื้อกูลกัน

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการขยายการพัฒนาในอนาคต บริษัทฯ ต้องการศึกษาทำเลที่ดินว่างเปล่าทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ โดยสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการที่มีอยู่แล้วของ บริษัท พราว ฮอสพิทอลิตี้ จำากัด เช่น ที่จังหวัด ภูเก็ต เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ไม่ทิ้งโอกาสที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนสินทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้ว 80% ขึ้นไปและพร้อมสำหรับรอการขายเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้นให้กับบริษัทฯ ได้

“เราได้วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์โควิดอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยแห่งที่ 2  เป็นโครงการร่วมทุนกับกองทุนต่างชาติ โดยทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วทั้งที่ดิน การเตรียมการแบบ โครงการนี้ราว 3,000 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม การวางแผนทุกอย่างบริษัทฯจะคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น “จะไม่เบ่งจนเกินตัว ขายช้าก็ไม่เหนื่อยมาก ขายเร็วก็โอเค” ให้ความสำคัญกับสภาวการณ์เศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงวิกฤตโควิด-19 จบเร็วหรือช้า หากมีคนคิดค้นยา หรือวัคซีนได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ แผนทุกอย่างที่ยังอยู่ในเงื่อนไขเวลาที่เตรียมไว้คือ โครงการที่พักอาศัยแห่งที่ 2  ก็ปลายปี 2563  แต่หากโควิด-19 ไม่จบแล้วยังลากยาวไปนานการเปิดตัวก็น่าจะเป็นช่วงต้นปี 2564 แผนการเปิดตัวโครงการที่ 2 ก็ต้องเลื่อนออกไป 3-6 เดือน ซึ่งถึงแม้โครงการใหม่จะทอดยาวออกไปก็ไม่มีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทฯ

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*