โกลเด้นแลนด์เผยกระแสเงินสดยังเพียงพอรับมือโควิด-19 ระบุในวิกฤตกลับพบ New Normal จุดเปลี่ยนอสังหาฯดีมานด์จริงแห่ซื้อบ้าน คอนโดฯเริ่มไม่ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน พลิกไลฟ์สไตล์หันซื้อแนวราบชานเมือง อนาคตหลายบริษัทลดพื้นที่เช่าสำนักงาน หนุนพนักงาน WFH ประหยัดค่าใช้จ่าย ตั้งเป้ายอดขายทาวน์โฮม-บ้านเดี่ยวปีนี้แตะ19,500 ล้านบาท  รับรู้รายได้ 12,550 ล้านบาท
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ กรรมการผู้จัดการ สายงายพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและโครงการบ้านเดี่ยว  บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจของทุกบริษัท ซึ่งในส่วนของโกลเด้นแลนด์ ก็มีการลดต้นทุนวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เน้นมาใช้ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นถึงสัดส่วน 70% จากช่วงปกติ 50% เป็นต้น และไม่มีนโยบายในการลดจำนวนพนักงานแต่อย่างใด โดย

 

“ช่วง Working From Home (WFH)คุณประณต สิริวัฒนภักดี  ประธานกรรมการบริหาร โกลเด้นแลนด์ ได้มีการประชุมร่วมกับผู้บริหารและพนักงานทั้งหมด ผ่านแอปพลิเคชั่น ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความชัดเจนว่าในวิกฤติโควิด-19 ระบาด บริษัทฯจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมีกระแสเงินสดเพียงพอ อยู่ได้ยาวถึง 6 เดือน หรือนานกว่านั้น  เพราะมีแหล่งเงินกู้พร้อม ซึ่งสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้บริหารและพนักงานได้เป็นอย่างดี”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของงานขายโครงการนั้น หากโครงการไหนยอดขายไม่ค่อยดี ก็จะแก้ไขด้วยการลดงานก่อสร้างลง ขณะที่โครงการไหนมียอดขายที่ดีก็เร่งงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 2.5-3 ล้านบาท กระจายในทุกโซนในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด

นายภวรัญชน์  กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทราบว่าในวิกฤติย่อมพบเจออะไรใหม่ๆเสมอ ซึ่งขณะนี้ได้พบ New Normal จากช่วงแรกที่มีการแพร่ะระบาดหนักของโควิด-19 ส่งผลให้ยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าชะลอตัวไปประมาณ 40-50% แต่อัตราการขายกลับดีขึ้น เพราะลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงยังมาเยี่ยมชมโครงการ ทำให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากทำเล และราคาตอบโจทย์

บริษัทฯได้พยายามวิเคราะห์จากลูกค้าทำให้พบว่า หลังชะลอตัวจากช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรงไปประมาณ 1 สัปดาห์ ลูกค้าก็กลับเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ และล้วนเป็นเรียลดีมานด์ ลูกค้าส่วนใหญ่ในหลายอาชีพจะ Working From Home (WFH) ทำให้พบในอีกสิ่งคือ ลูกค้าที่เคยอยู่อาศัยคอนโดฯ หันมาซื้อทาวน์โฮมกันมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น เนื่องจากคอนโดฯมีพื้นที่ใช้สอยและที่จอดรถที่มีจำกัด ดังนั้นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพได้เริ่มหันมาซื้อทาวน์เฮาส์แทนมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-50%แม้กระทั่งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ก็มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น 30-40%

 

“หลังโควิด-19 หยุดระบาด จะเกิด New NOrmal ใหม่ เช่นเดียวกับปี 2554 ที่ประสบปัญหาอุทกภัยโครงการแนวราบประสบปัญหากันมาก แต่คอนโดฯน้ำไม่ท่วม ทำให้คนหันไปซื้อคอนโดฯมากขึ้น และตลาดกลุ่มนี้โตขึ้น ขณะที่ตลาดแนวราบติดลบ ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว และวิกฤติครั้งนี้ก็จะเป็นการพลิกด้าน ทำให้ทุกคนเรียนรู้ว่ นี่คือจุด Change อสังหาฯครั้งใหญ่ วิถีการทำงานของคนไทยจะเปลี่ยน การอยู่คอนโดฯไม่ใช่คำตอบอีกต่อไปแล้ว”

ทั้งนี้ช่วงโควิด-19 ระบาด ทุกคนจะ WFH และทำให้หลายบริษัทเริ่มเรียนรู้ว่า พนักงานหลายฝ่ายสามารถทำงานที่บ้านได้ โดยที่ประสิทธิภาพไม่ตกหรือดีขึ้นกว่าเดิม มีเวลาทำงานได้มากขึ้น  และเชื่อว่าหลังวิกฤตโควิด-19 อาจจะส่งผลให้หลายบริษัทลดพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานลง ทำให้ประหยัดค่าเช่าพื้นที่ได้มากขึ้น เพราะแนวโน้มในอนาคตจะทำให้พนักงานบริษัท WFH มากขึ้น คอนโดฯใกล้แนวรถไฟฟ้า ก็จะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะอัตราการทำงานที่ออฟฟิศจะลดลงอย่างต่อเนื่อง หันไปซื้อบ้านชานเมือง เพื่อลดความอึดอัดมากขึ้น ประกอบการอนาคตภายใน 3 ปี จะมีรถไฟฟ้าสายสีต่างๆขยายไปย่านชานเมืองมากขึ้น ทำให้เดินทางได้โดยสะดวก

โดยที่ผ่านมาทุกโครงการแนวราบของบริษัทฯได้ออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านรองรับสำหรับการ WFH มาตั้งแต่แรก ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้า และไม่ต้องปรับแก้ไขเหมือนผู้ประกอบการบางราย ส่วนรูปแบบบ้านที่รองรับผู้สูงอายุนั้น ในมีต่างประเทศ ได้ดำเนินการมานานแล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะไม่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญมาก เหมือนญี่ปุ่น และยุโรป เนื่องจากช่วงที่อยู่ในวัยทำงาน กลุ่มคนดังกล่าวจะเสียภาษีมากถึง 30% ดังนั้นเมื่อเกษียณอายุจึงสามารถนำเงินสะสมดังกล่าวมาซื้อที่อยู่อาศัยและใช้ชีวิตในบั้นปลายได้ ขณะที่ประเทศไทยนั้นไม่ได้มีการจ่ายภาษีมาก ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทยมากนัก แต่ถ้าหากพัฒนาเพื่อขายชาวต่างชาตินั้น อสังหาฯไทยจะได้รับการตอบโจทย์มาก

ส่วนภาพรวมการจัดโปรโมชั่นในโครงการแนวราบนั้น มองว่าไม่ค่อยรุนแรงและดุเดือด เมื่อเทียบกับคอนโดฯที่แข่งขันกันสูงมากขึ้น นำห้องชุดมาขายถูกกว่าช่วงพรีเซล เนื่องจากทุกบริษัทต้องการนำกระแสเงินสดเข้าบริษัท บางบริษัทยอมขายขาดทุน เพราะแบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งโดยภาพรวมนั้นโครงการแนวราบยังขายได้ เพราะมีเรียลดีมานด์

แม้ว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย บริษัทยังมีโอกาสในการดึงกำลังซื้อ แต่ก็ต้องชะลอการชื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาในปี 2564  ออกไปก่อน  จากปกติเตรียมงบไว้ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการประเภททาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว แต่ปัจจุบันใช้ไปเพียง 50% เท่านั้น โดยซื้อที่ดินได้เกือบ 10 แปลง  ซึ่งคงเก็บไว้ก่อนโดยไม่รีบเปิดตัวใหม่แต่อย่างใด เพราะต้องการเก็บกระแสเงินสดไว้ให้ได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายโครงการทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวไว้ที่ 19,500 ล้านบาท  โดยไตรมาส1  ตามรอบบัญชีสามารถทำยอดขายได้ 5,574 ล้านบาท  และเป้ายอดรับรู้รายได้ที่ 12,550 ล้านบาท จากเป้ายอดขายแนวราบทั้งปีที่ 31,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้แนวราบทั้งหมดปีนี้ที่ 18,000 ล้านบาท

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*