คงปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบออนไลน์ผ่านการใช้โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลและกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ในทุกทุกวันจะมีผู้คนใช้งานโซเชียลมีเดียมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน โซเชียลมีเดียเข้ามีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่ปี 2004 และมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2019 ที่มีผู้ใช้งานกว่า 3,200 ล้านคนทั่วโลก  (Emarsys, 2019) และมีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยจากจำนวนประชากรทั่วโลกที่ 42% ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.emarketer.com ในปี 2019 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มMillennials (หรือคนที่มีอายุ 21-37 ปี) ปีมีการใช้งานโซเชียลมีเดียมากถึง 90.4% ในขณะที่กลุ่ม Gen X (หรือคนที่มีอายุ38-52 ปี) ปีมีการใช้งาน 77.5% และกลุ่มBaby Boomer (หรือคนที่มีอายุ 53-71ปี) มีการใช้งานราว 48.2% ในแต่ละวันแม้เป็นข้อมูลประชากรที่อ้างอิงในประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ในประเทศไทยนั้นแนวโน้มการใช้งานโซเชียลมีเดียของแต่ละเจเนอร์เรชั่นก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน เราจึงเห็นการพัฒนาโปรแกรมต่างๆที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายและการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิตเป็นสิ่งพื้นฐานที่ตลาดผู้บริโภคยังคงต้องการอยู่

จากผลสำรวจ Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุด ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ที่สอบถามผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 22 – 60 ปีขึ้นไป จำนวน 945 คน เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ค้นหา (Search) และค้นคว้าข้อมูล (Learn) เพื่อเปรียบเทียบ (Compare) โครงการและปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่ราคา ทำเล โปรไฟล์ของโครงการ ไปจนถึงใช้เครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกก่อนตัดสินใจ อาทิ การคำนวณภาระการผ่อนหรือดอกเบี้ย ในขณะที่มีการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมด้านการเงินก่อนตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้น ที่สำคัญไปกว่านั้นยังพบว่าอายุและรายได้เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ในด้านต่าง ๆ ด้วย

Platform ยอดนิยมที่ผู้บริโภคไทยใช้เมื่อต้องหาข้อมูล

พฤติกรรมพื้นฐานของผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็ตาม คือการ “ค้นหา” ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงการซื้อหรือเช่าอสังหาฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูงที่ต้องให้ความสำคัญในการคัดเลือก โดยในภาพรวมพบว่า

    • อันดับหนึ่งคือโซเชียลมีเดีย 72% กระโดดจากการสำรวจครั้งก่อนอยู่ในอันดับสามที่ 50%
    • อันดับสองคือเว็บไซต์ของผู้ประกอบการอสังหาฯ จำนวน 69% โดยครั้งที่ผ่านมาอยู่ในอันดับสี่ ที่ 43
    • อันดับสามคือเว็บไซต์สื่อกลางอสังหาฯ อยู่ที่ 61% ซึ่งตกอันดับจากครั้งก่อนที่ติดอันดับสองด้วยจำนวน 61% เท่ากัน

ผลการสำรวจครั้งล่าสุดนี้พบว่าช่องทางการค้นหาข้อมูลของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมากจากครั้งก่อนที่อันดับหนึ่งคือการเข้าชมโครงการด้วยตนเองถึง 79% ตามด้วยเว็บพอร์ทัลอสังหาฯ โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ของผู้ประกอบการ โดยเมื่อเจาะลึกตามช่วงวัยในครั้งนี้พบว่าผู้บริโภคอายุระหว่าง 22-29 ปี ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียค้นหาข้อมูลอสังหาฯ มากถึง 81% รองลงมาคือเว็บไซต์ของผู้ประกอบการ 77% ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการค้นหาที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะ

 เมื่อจะซื้อ ราคา ทำเล ข้อมูลด้านการเงินองค์ประกอบของการตัดสินใจ

คำถามที่น่าสนใจและเพิ่มขึ้นมาสำหรับการสำรวจครั้งนี้คือ เมื่อต้องการซื้อหรือเช่าอสังหาฯ ข้อมูลที่ผู้บริโภคค้นหามากที่สุดคืออะไร โดยในภาพรวมพบว่า 3 อันดับแรก คือ

    • ราคา 83%
    • ตามด้วยทำเล 72%
    • ข้อมูลทางการเงิน 69%

สิ่งที่น่าสนใจคือพบว่ากลุ่มคนอายุระหว่าง 22-29 ปี ให้ความสำคัญกับข้อมูลทางการเงินถึง 78% อีกทั้งยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษี 59% มาตรการของรัฐบาล 46% เอกสารและกระบวนการทางกฎหมาย 50% เนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มต้นทำงานจึงยังไม่มีเงินออมมากนัก ข้อมูลดังกล่าวจึงมีความสำคัญมากสำหรับคนวัยนี้ มากกว่ากลุ่มคนอายุ 30-60 ปี ที่ค่อนข้างมีความพร้อมทางการเงินแล้ว

ถ้าจะเช่าสิ่งที่อยากรู้คือความคุ้มค่า

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกโครงการอสังหาฯ ก็เป็นส่วนสำคัญทีผู้บริโภคต้องนำมาใช้พิจารณาเพื่อคัดเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรอบด้านและคุ้มค่ากับการลงทุนให้มากที่สุด สำหรับปัจจัยภายในสำคัญ ที่นำมาพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่

    • ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม./ตร.ว. 59%
    • ขนาดของที่พักอาศัย 50%
    • สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ 45%

ซึ่งราคาและขนาดของที่พักอาศัยเป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคนำมาใช้พิจารณาเพื่อดูว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในโครงการก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่นำมาใช้คัดเลือกด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องของการออกแบบโครงการ โปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่าง ๆ ยังไม่ใช่ส่วนสำคัญที่ใช้พิจารณาเป็นอันแรก ๆ

ขณะเดียวกันปัจจัยสำคัญภายนอกโครงการอสังหาฯ ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ 3 อันดับแรก คือ

    • ทำเลของที่อยู่อาศัย 83%
    • ความปลอดภัยของทำเล 65%
    • โครงสร้างพื้นฐาน / สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ 62%

ทำเลยังครองแชมป์อันดับแรกเช่นเดียวกับการสำรวจครั้งก่อนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ตามด้วยความปลอดภัยของทำเล และโครงสร้างพื้นฐาน/สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบพื้นที่ นอกจากนี้ 25% ให้ความสำคัญเรื่องของการพัฒนาพื้นที่โดยรอบในอนาคต และอีก 23% สนใจเรื่องสินเชื่อบ้าน ทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจไม่ใช่น้อย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมองไปถึงเรื่องของการลงทุนปล่อยเช่าหรือขายต่อในอนาคต

เงินทอง ต้องวางแผน

เมื่อมีแผนว่าจะตัดสินใจซื้อบ้านแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เงิน” ที่ต้องใช้ในการลงทุน จากการสำรวจครั้งล่าสุดนี้พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีการเตรียมออมเงินก่อนที่จะค้นหาอสังหาฯ โดย

    • 44% เริ่มออมเงินก่อนค้นหาอสังหาฯ
    • 31% เริ่มออมหลังจากประเมินราคาอสังหาฯ
    • 20% เริ่มออมเงินหลังจากตัดสินใจซื้ออสังหาฯ

เท่ากับว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจดีว่าการลงทุนซื้ออสังหาฯ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก การวางแผนเก็บออมแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มค้นหาบ้านที่ถูกใจ จะช่วยลดความกดดันทางด้านการเงินไปได้มากพอสมควรกว่าการเพิ่งเริ่มต้นออมเมื่อตัดสินใจซื้อบ้านแล้ว

จากผลสำรวจพฤติกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ก่อนตัดสินใจซื้อหรือเช่าอสังหาฯ สักแห่ง ผู้บริโภคจะพิจารณาในหลายด้าน เพื่อหาสิ่งที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ความต้องการในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง และอีกมุมหนึ่งคือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ทราบว่าควรวางกลยุทธ์หรือพัฒนาโครงการอย่างไรให้เข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*