“ทริสเรทติ้ง”เผยหุ้นกู้ของบริษัทอสังหาฯ 22 รายครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2563 รวมมูลค่า 8.93 หมื่นล้านบาท หวั่นพิษโควิด-19 ระบาดหนักตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์หากกินเวลานาน กระทบความเชื่อมั่น นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหันมาถือเงินสด และลังเลที่จะลงทุน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการที่ต้องการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงมุมมอง “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย แม้ว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่หรือโควิด-19 (COVID-19) จะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจนี้ แต่ก็สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศค่อนข้างเปราะบางและต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวรวมทั้งภาคการส่งออกค่อนข้างมาก ดังนั้นการแพร่ระบาดของไวรัสอาจส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศหดตัว โดยระยะเวลาการแพร่ระบาดยิ่งนานก็จะยิ่งส่งผลกระทบที่มากขึ้นต่อธุรกิจ อนึ่ง แม้ในกรณีที่การแพร่ระบาดสามารถควบคุมได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้ แต่ยอดขายที่อยู่อาศัยก็น่าจะยังลดลงที่ระดับประมาณ 20%-30% จากปีก่อนหน้า
สาหรับในปีนี้ที่ทริสเรทติ้งมีความกังวลเกี่ยวกับทั้งยอดขายใหม่และยอดโอนที่อยู่อาศัยซึ่งยอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้(Backlog)ของผู้ประกอบการโดยรวมลดลงตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ยอดขายใหม่ ที่คาดว่าจะลดลงในปีนี้ก็อาจจะส่งผลให้การรับรู้ายได้ในปีนี้และปีถัดๆไปลดลงด้วยยอดขายในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัย(LTV)ที่เข้มงวดมากขึ้น สงครามการค้าโลก หรือ การแข็งค่าของเงินบาท โดยข้อมูลที่ทริสเรทติ้งรวบรวมมาจากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับจำนวน 22 รายนั้นพบว่ายอดขายในปี 2562 ลดลงถึง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากยอดขายคอนโดมิเนียมลดถึง 39% และยอดขายบ้านแนวราบที่ลดลงกว่า 27% ส่งผลให้ยอดขายคอนโดมิเนียมสะสมที่รอรับรู้รายได้ลดลงเกือบประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าโดยมาอยู่ที่ 2.87 แสนล้านบาท(ลบ.)
ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อผู้ประกอบการเริ่มยกระดับความรุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จากความกังวลการแพร่กระจายของไวรัสภายนอกประเทศจีนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้จำนวนผู้ซื้อบ้านที่เข้าเยี่ยมชมโครงการลดลงอย่างมาก จากความกังวลเรื่องการติดเชื้อและจากการที่รัฐบาลมีมาตรการควบคุมการเดินทางและการทำกิจกรรมทางสังคมยอดขายคอนโดมิเนียมให้แก่ชาวต่างชาติก็ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ปี 2562 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศจีน และการแข็งค่าของเงินบาท จากข้อมูลของผู้ประกอบการทั้ง 22 ราย พบว่ายอดขายคอนโดมิเนียมให้แก่ชาวต่างชาติในปี 2562เหลือเพียง 2.5 หมื่นล้านบาท ลดลงเกือบ 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สำหรับในปีนี้ความเสี่ยงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีตอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อรายได้และกระแสเงินสดจากการส่งมอบที่อยู่อาศัยนั้น ผู้ประกอบการที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตดังกล่าว จะต้องให้ความสาคัญเป็นอย่างมากกับการรักษาสภาพคล่องทางการเงินเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากไวรัสต่อภาวะเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย การแพร่ระบาดที่กินเวลายาวนานขึ้นส่งผลทำให้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนหันมาถือเงินสด และลังเลที่จะลงทุนแม้แต่ในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่แม้จะเป็นบริษัทที่มีคุณภาพดี การที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าวจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการที่ต้องการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม
จากข้อมูลงบการเงิน ณ สิ้นปี 2562 พบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยทั้ง 22 รายมียอดหุ้นกู้คงเหลืออยู่ที่ประมาณ 2.43 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 60% ของหนี้สินทางการเงินโดยรวมของผู้ประกอบการทั้งหมด และจากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ณ วันที่ 30 มีนาคม 2563 พบว่าตราสารหนี้(หุ้นกู้)ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2563 ของผู้ประกอบการทั้ง 22 ราย มีมูลค่า 8.93 หมื่นล้านบาท จำแนกเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นจำนวน 2.34 หมื่นล้านบาท และ ตราสารหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดภายในปี 2563 จำนวน 6.59 หมื่นล้านบาท โดยประมาณ 50% ของตราสารหนี้จะครบกำหนดอายุไถ่ถอนในไตรมาส 2 นี้
เนื่องจากความต้องการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนหายไป ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงต้องหันไปกู้ยืมเงินจากธนาคารแทน จากข้อมูลที่ทริสเรทติ้งรวบรวมจากผู้ประกอบการทั้ง 22รายพบว่า หากไม่นับรวมกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและหากคาดว่าผู้ประกอบการจะสามารถต่ออายุหนี้เงินกู้ธนาคารที่มีอยู่ออกไปได้ก่อนเราพบว่าผู้ประกอบการทุกรายมีเงินสดคงเหลือในมือและวงเงินกู้พร้อมเบิกจากธนาคารเพียงพอที่จะรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 3 เดือนข้างหน้าได้ และประมาณครึ่งหนึ่งมีเงินสดคงเหลือ และวงเงินกู้พร้อมเบิกเพียงพอสำหรับการไถ่หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดภายในปีนี้
นอกจากนี้ “กองทุนเสริมสภาพคล่องเพื่อลดความเสี่ยงของการระดมทุนในตลาดตราสารสารหนี้ภาคเอกชน” ที่จัดตั้งขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพื่อลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดี(อันดับเครดิตตั้งแต่ระดับ BBB-”ขึ้นไป)ที่ไม่สามารถต่ออายุตราสารหนี้ที่ครบกำหนด ได้ครบทั้งจำนวนนั้นก็เป็นแหล่งเงินทุนอีกแหล่งหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่ของบริษัทเอกชนที่มีคุณภาพได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องจาก สถานการณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทริสเรทติ้งจะคอยเฝ้าระวังและติดตามสภาพคล่องของผู้ประกอบการแต่ละรายอย่างสม่ำเสมอต่อไป
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ทริสเรทติ้งมีการจัดอันดับเครดิตให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 22 รายโดยมีผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ“A” จำนวน 7 ราย ,ในระดับ “BBB” จำนวน11ราย และในระดับ “BB” จำนวน 4 ราย มีผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบจำนวน 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท อารียาพรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)(AREEYA) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) (ANAN) และ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) (PF)