ไวรัสโควิด-19 พ่นพิษไม่หยุด แสนสิริฯปรับแผนธุรกิจหันเจาะลูกค้าคนไทย หลังจากลูกค้าจีนหด พร้อมหั่นงบก่อสร้างต่อโครงการเหลือ 1,300 ล้านบาท ลดความเสี่ยงเศรษฐกิจ-ภาษี เปิดแผนปี 63 ผุด 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท เจาะตลาดแมสราคา 1.69-5 ล้านบาทมากขึ้น ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 29,000 ล้านบาท รับรู้รายได้33,000 ล้านบาท  
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ว่า โดยรวมแล้วมีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของลูกค้าชาวต่างชาติ ส่งผลให้บริษัทฯมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายด้วยการกลับมาเน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศเพิ่มมากขึ้นแทน ในระดับราคาขายที่จับต้องได้มากขึ้นเริ่มต้นที่ 1.69-5 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปี 2563นี้ บริษัทฯคาดว่ามียอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติเกือบ 3,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

ส่วนลูกค้าชาวจีนที่จะต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ บริษัทฯได้เตรียมแผนการรองรับไว้แล้ว โดยจะพิจารณาลูกค้าในกรณีที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทฯพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกค้าในการยืดระยะเวลาการโอนให้ ในกรณีที่ชำระเงินดาวน์ครบ 30% อาจจะพิจารณามอบส่วนลด 3-10% ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการโอน ซึ่งในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าชาวจีนในสัดส่วน 50% จากยอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมด

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯเตรียมเปิดตัวใหม่ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และAffordable เป็นหลัก เพื่อให้ แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย ขณะเดียวกันก็ขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury และ Super Luxury ด้วยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้านแสนสิริ

“โดยการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ จะลดขนาดโครงการให้เล็กลง จากเดิมที่ใช้เงินลงทุนโครงการละประมาณ 1,600 ล้านบาท เหลือโครงการละ 1,300 ล้านบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและภาษีต่างๆ จึงมาเน้นตลาดแมสมากขึ้น  ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS หลังจากผ่านระยะเวลาการร่วมทุนตามแผน 5 ปี ซึ่งในปีนี้จะมีการเปิดเพียง 1 โครงการ โดยที่การลงทุนร่วมกับ BTS บริษัทจะมีการพิจารณาถึงความพร้อมของทั้ง 2 บริษัท และช่วงเวลาที่มีความเหมาะ ซึ่งปัจจุบันพันธมิตรมีการลงทุนร่วมกับพันธมิตรรายอื่นค่อนข้างมาก ทำให้การพัฒนาโครงการร่วมกับบริษัทเปิดลดลง” นายวันจักร์

ทั้งนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2563 ไว้ที่ 23,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งไว้ใช้สำหรับการซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะไว้ใช้รองรับการก่อสร้างโครงการและการลงทุนอื่นๆ ขณะเดียวกันในปี 2563 บริษัทยังพิจารณาเพิ่มวงเงินในการออกหุ้นกู้จาก 40,000 ล้านบาท เป็น 50,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรองรับเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อที่ดิน การพัฒนาโครงการ และการลงทุนอื่นๆ โดยที่ล่าสุดบริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ววงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี 8 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีและจองซื้อทั้งหมด ซึ่งบริษัทได้รับเงินเข้ามาแล้ว ส่วนแผนการออกหุ้นกู้ในปีนี้ยังมีการออกเพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งปีหลังนี้

นอกจากนี้บริษัทฯยังวางแผนระบายสต๊อกในปีนี้ออกไปให้เหลือ 6,000-7,000 ล้านบาท จากสต๊อกทั้งหมดที่บริษัทมีอยู่กว่า  12,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท ซึ่งจะจัดแคมเปญต่างๆ และมีการปรับลดราคาในบางโครงการตามความเหมาะสม เพื่อกระตุ้นการระบายสต๊อกออกอย่างรวดเร็ว

โดยคาดว่าปี 2563 นี้ จะสามารถสร้างยอดขาย 29,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 33,000 ล้านบาท  จากปี 2562 ที่ผ่านมามียอดขาย 21,000 ล้านบาท ยอดโอน 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ที่ 26,300 ล้านบาท และกำไร 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% นอกจากนี้บริษัทฯยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4  ปี อีกถึง 47,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ส่งผลให้ชาวต่างชาติที่จะมาซื้ออสังหาฯในเมืองไทยชะลอตัวลง โดยเฉพาะในประเทศจีนก็ต้องมีการแก้ปัญหาไป ส่วนผู้ประกอบการในประเทศไทยเองก็ต้องหันมาเจาะตลาดแนวราบงที่เป็นเรียลดีมานด์มากขึ้นก่อน ส่วนมาตรการรัฐที่ออกมาช่วยเหลือภาคอสังหาฯก่อนหน้านี้ มองว่ายังไม่เพียงพอและยังไม่ดีที่สุด แต่คิดว่ารัฐบาลคงพยายามหาทางช่วยเหลืออยู่

ส่วนการพัฒนาโครงการของบริษัทฯในปีนี้จะเน้นแนวราบมากขึ้น โดยบ้านเดี่ยว ระดับราคาที่ประมาณ 5-8 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ ราคาประมาณ 2 ล้านบาท โดยเจาะลูกค้าคนไทยระดับแมสมากขึ้น ส่วนลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะจีนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนถึง 1,000 ราย และมีบางส่วนที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 500 ราย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท กระจายใน 8 โครงการ ราคาเฉลี่ยประมาณ 4 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยโอนได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 นี้ แต่ก็มีลูกค้าชาวจีนประมาณ 7-8 ราย ที่แจ้งความประสงค์ที่จะขอเลื่อนการโอนออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทฯก็เลื่อนการโอนให้ไป 1-2 เดือน หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง ในช่วงหลังเดือนเมษายน 2563 นี้

ถ้าชาวจีนไม่ตายทั้งประเทศ คงกลับมาลงทุนและซื้ออสังหาฯในเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะมีความประทับใจในวัฒนธรรมของคนไทย บางรายมีความต้องการที่จะมาพำนักในประเทศไทยหลังเกษียณการทำงาน เชื่อว่าหากควบคุมสถานการณ์ได้ ทุกอย่างก็จะคืนสู่สภาวะปกติ และลูกค้าจีนก็จะกลับมาอย่างแน่นอน” นายอุทัย กล่าว

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ด้วย “แหล่งรายได้ใหม่” ได้แก่ แผนการนำแอพพลิเคชั่น LIV-24 ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ ขยายการให้บริการสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแผนต่อยอด และขยายขอบเขตการบริการของ Home Service Application หลังประสบความสำเร็จจากประสบการณ์ให้บริการในลูกบ้านแสนสิริกว่า 40,000 ราย ใน 300 โครงการสู่โครงการอื่นๆ ที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริหารทั่วประเทศโดยวางแผนเปิดตัวในช่วงปลายปี 2563 นี้ นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจระดับโลกก็ประสบความสำเร็จและมีมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ The Standard โรงแรมจากสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนธุรกิจโรงแรมทั่วโลกที่แสนสิริเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลังจากประกาศแผนเปิดโรงแรมแห่งใหม่ 25 แห่งทั่วโลก ภายใน 5 ปี และเปิดตัว The Standard London และ The Standard Maldives เมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง JustCo Co-Working Space ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปี และปัจจุบันมี 42 สาขา ใน 8 เมืองใหญ่ทั่วโลก

อีกทั้งบริษัทฯยังมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสต์ (Precast) เพื่อรองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานที่ 1 และ 2 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 700,000 ตารางเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร เมื่อเต็มกำลังการผลิต รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ได้ในอนาคต

“อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คือ “คน” โดยการวางกลยุทธ์ “People Strategy” ต่อยอดวิธีคิดแบบ Agile เพื่อยกระดับความสุขของพนักงานเป็น Made for Us ขับเคลื่อนด้วย 2 แนวคิด คือ New way of Work เน้นการดีไซน์พื้นที่เพื่อตอบโจทย์การทำงานของพนักงานมากขึ้น ทำให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และได้คุณภาพงานที่ดีที่สุด และอีกส่วนคือ New way of Life สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงาน ในการทำงานร่วมกันที่ สิริ แคมปัส และเน้นประสบการณ์การทำงาน ผ่านเรื่องราวของสุขโภชนาการ การออกแบบพื้นที่สีเขียวภายในสำนักงาน เพิ่มพื้นที่สันทนาการ หรือพื้นที่ทำงานแบบ Creativity Workplace เป็นต้น” นายอุทัย กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*