เอสซีฯเผยปี63 ทุกอุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยลบเก่า–ใหม่ เปรียบภาคอสังหาฯอยู่ในภาวะท้องอืด เจอปัญหารุมเร้ากลายเป็นโรคซึมเศร้า หมดอารมณ์ซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนเพิ่มรายได้ 2 ธุรกิจ ขยายฐานลงทุนรร.ในประเทศและอพาร์ตเมนต์เมืองบอสตัน ทั้งรุกเปิด 13 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยยอดขาย 18,000 ล้านบาท รายได้แตะ 17,800 ล้านบาท
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสทคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่าในปี2562 ซึ่งเป็นปีที่ท้าทายของธุรกิจอสังหาฯแล้ว คาดว่าในปี 2563 จะเป็นปีที่ยากและท้าทายของทุกอุตสาหกรรมมากกว่า เพราะเป็นปีที่รวมทุกปัจจัยลบและปัจจัยที่ยากต่อการคาดเดา โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP )มีโอกาสที่จะต่ำกว่า 2%ในรอบ 5 ปี ส่วนในภาคอสังหาฯอาจจะมีผลกระทบทางอ้อม ทำให้ดีมานด์ไม่มีอารมณ์ในการซื้อที่อยู่อาศัย
“ปี2562 เป็นปีที่สภาวะอสังหาฯอยู่ในภาวะท้องอืด เพราะสต๊อกในตลาดระบายได้ช้าลง โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯพบว่ามีโครงการที่เปิดใหม่ลดลงไป 10-20% และมียอดขายรวมลดลงไปประมาณ 20% แม้ว่าเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านภาครัฐจะป้อนยามา 2 ขนานแล้ว แต่ก็มาเจอโรคซึมเศร้ารุมเร้าอีก เพราะประสบกับปัจจัยที่ยากต่อการคาดเดาอีกมากมาย” นายณัฐพงศ์ กล่าว
ดังนั้นในปี 2563 นี้ บริษัทฯจึงมีแผนในการนำระบบ RESILIENT “ความยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความยุ่งเหยิง” พร้อมปรับตัวและมองโอกาสหา S-curve ให้บริษัทสำหรับการเติบโตระยะยาว โดยขับเคลื่อนใน 2 เรื่องหลัก คือ
1.Resilient Portfolio แบ่งเป็น 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่
-For Sale เน้นแนวราบ จากการเติบโตของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา ในปี 2562 ที่ผ่านมา SC มี market share อันดับ 1 บ้านหรู 20-50 ล้านบาท และอันดับ 3 ของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา จึงมีแผนเพิ่มการเติบโตของแนวราบ โดยเพิ่มสัดส่วนของแนวราบ ราคาน้อยกว่า 10 ล้านบาท จาก 40% เป็น 50% ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้(2563-2566) นอกจากนี้ยังเพิ่มความหลากหลาย เพื่อเป็นบ้านสำหรับทุกคน (Homes for All) ที่สำคัญ คือ การรักษามาตรฐานคุณภาพสูง ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ของ SC
-For Rent เสริมพอร์ต recurring income ให้มีสัดส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่า 20% โดยเปิดบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท เอสซี เอ็กซ์เพดิชั่น จำกัด มีนายเยี่ยม เศรษฐบุตร เป็นกรรมการผู้จัดการ เพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมกลุ่ม mid-to-upscale รองรับนักท่องเที่ยวทั้งต่างประเทศและในไทย โดยเฉพาะกลุ่ม FIT (Free Individual Travelers) ที่ชอบท่องเที่ยวด้วยตนเองและกำลังเติบโต โดยบริษัทยังคงมีการลงทุนโรงแรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการวางงบลงทุนรวมในการลงทุนโรงแรมไว้ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท มีเป้าหมายการเปิดโรงแรมรวม 1,000 ห้องพัก ระหว่าง ปี 2563-2566 ใน 5 ทำเล ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวโดยจะเปิดในกรุงเทพฯ แห่งแรกที่ทำเลราชวัตร ซึ่งเป็นการเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี และนำอาคารสำนักงานเก่า สูง 7 ชั้นมาปรับปรุงใหม่ เป็นโรงแรม ระดับ 3-4 ดาว จำนวน 70-80 ห้อง ราคา 2,000 บาท/คืน(+-) โดยใช้งบลงทุนและรีโนเวท ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตั้งชื่อโรงแรม คาดว่าจะสรุปและเปิดให้บริการได้ในปลายปี2563 นี้
ส่วนในปี 2564 จะเปิดตัวโรงแรมแห่งที่2 ที่ทำเลรัชดาภิเษก ส่วนอีก 3 ทำเล คือสุขุมวิท, วิภาวดี และพัทยา จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 4 โครงการหลังนี้จะเป็นการซื้อที่ดินเพื่อมาพัฒนาใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีที่ดินรองรับแล้วทั้งหมด
อีกทั้งได้ร่วมกับ IDEO Tokyo บริษัทออกแบบและที่ปรึกษาด้านการออกแบบระดับโลก ที่ใช้แนวคิด Design Thinking มาพัฒนา concept เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ (นักท่องเที่ยว) ในแบบฉบับ SC โดยมี ‘Micro Stay’ เป็นซิกเนเจอร์เซอร์วิสในแบบเฉพาะตัวที่โรงแรมแต่ละแห่งมี solutions แตกต่างกัน
สำหรับความคืบหน้าบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีนายอภิสิทธิ์ ลิ้มล้อมวงศ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งจากปัจจัยและโอกาสของตลาดอพาร์ตเมนต์ ในบอสตันที่มีศักยภาพพร้อมเติบโต ในปีที่ผ่านมาจึงได้ทำสัญญาซื้อและบริหารอาคาร ที่ 244 Hanover Street & 20 Parmenter Street ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์ มูลค่า 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะรอสร้างมูลค่าประมาณ 3 ปี หลังจากนั้นก็จะทำขายต่อเพื่อสร้างผลกำไร
นอกจากนี้ในปลายปี 2563 นี้บริษัทฯมีแผนเข้าลงทุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในเมืองบอสตัน เพิ่มอีก 1 แห่ง มูลค่าลงทุน 900 ล้านบาท (30 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ซึ่งคาดว่าสัดส่วนกำไรของธุรกิจให้เช่าในปี 2566 จะอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งมาจากโรงแรม 300 ล้านบาท และอาคารสำนักงาน 300 ล้านบาท
–หา S-curve ใหม่จาก Living Solutions โดยบริษัทฯมองโอกาสและหา S-curve ใหม่ บนการพัฒนา platform ด้วยการเปิดตัว RueJai Club ไว้ดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นวิถีของโลกยุคใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งมอบ solutions ให้กับลูกค้าทุกๆ บ้าน ด้วยโมเดลช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต ซึ่งประกอบด้วยแพ็กเกจบริการรายครั้งหรือรายเดือน สำหรับอำนวยความสะดวกทุกสิ่งที่เกี่ยวกับบ้าน ได้แก่ แม่บ้าน, ทำสวน , ล้างแอร์ เป็นต้น พร้อม solutions ที่มากกว่า ได้แก่ บริการส่งน้ำ , ส่งแก็ส , ตัดผม, ซักรีด , ประกันภัย, อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมายที่จะร่วมกับบริษัทพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอนาคต
2.Resilient People การให้ความสำคัญกับบุคลากร ที่เป็นหัวใจของความสำเร็จขององค์กร บริษัทได้นำวัฒนธรรมองค์กรชื่อ #SKYDIVE ภายใต้ค่านิยม (core values) 4 ประการคือ care, courage, collaboration, continuous improvement โดยทั้งหมดเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เปิดโอกาสให้กล้าคิดและทำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนองค์กรให้สอดคล้องต่อการเป็น Living Solutions Provider
นายณัฐพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ในปี2563 นี้ บริษัทฯมีแผนจะเปิดตัว 13 โครงการใหม่รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 12 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมซีรีย์ใหม่ทุกระดับราคา เริ่มต้น 2-50 ล้านบาท ทำเลวิภาวดี พระราม 5 , แจ้งวัฒนะ, พระราม 9, พัฒนาการ , บางนา–อ่อนนุช โดยเตรียมเปิดโครงการแรก วี คอมพาวด์ ติวานนท์–รังสิต ในเดือนมีนาคม นี้
และแนวสูง 1 โครงการ คือ “The Crest Park Residences” เป็นคอนโดระดับ Luxury พัฒนาภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SC กับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาค คิวชูของประเทศญี่ปุ่น บนทำเล prime ที่สุดของห้าแยกลาดพร้าว บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ จำนวน 429 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท กำหนดเปิดขายในไตรมาส 2/2563 ราคาเฉลี่ยกว่า 200,000-250,000 บาท/ตารางเมตร
โดยในปี 2563 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 17,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 17,700 ล้านบาท ซึ่งรายได้ในปีนี้จะมาจากทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 60% จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 7,000 ล้านบาท ประกอบกับจะมีรายได้จากการขายโครงการแนวราบที่เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย และโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ในปีนี้ ประกอบกับการทยอยระบายสต๊อกโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ออกมาเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ
“ปี 2563 SC ตั้งเป้ารายได้ที่ 17,800 ล้านบาท และ ยอดขาย 18,000 ล้านบาท โดยการเติบโตของรายได้และยอดขาย มาจากโครงการเปิดขายทั้งหมด 64 โครงการมูลค่ารวมกว่า 58,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง 51 โครงการ มูลค่ารวม42,300 ล้านบาท” นายณัฐพงศ์ กล่าวในที่สุด